เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 02 ก.พ. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช นักแสดงสาวชื่อดังวัย 36 ปี จำเลยที่ 7 คดีฉ้อโกงแชร์ FOREX-3D ซึ่งเธอเพิ่งได้รับอนุญาตปลดกำไล EM ตามคำร้องขอ เพื่อความสะดวกในการรับงานแสดงนั้น ได้เดินทางมาร่วมงานบวงสรวงภาพยนตร์เรื่อง กุมาร ณ ศิวาลัยสถาน สวนลุมไนท์บาร์ซา ซึ่งถือเป็นงานแรก ที่เจ้าตัวได้พบปะสื่อมวลชน หลังจากที่เธอต้องเข้าเรือนจำจากคดี FOREX-3D และได้ถูกปล่อยตัวชั่วคราว เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 65 โดยวันนี้พิ้งกี้มาร่วมงานในชุดสีโทนขาว ผมสั้น สีน้ำตาลทอง และมีสีหน้ายิ้มแย้มสดใส ก่อนเปิดใจผ่านสื่อเป็นครั้งแรกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น พร้อมด้วย นายทรงพล อันนานนท์ หรือ ทนายปิ๊ก และ หน่อย ณฐพร สิริภัคชรัสมิ์ ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องกุมาร

พิ้งกี้ เปิดเผยว่า วันนี้ไม่ตื่นเต้นมาก ปรับตัวมาพักนึง รู้สึกชิน สภาพจิตใจตอนนี้ก็ได้ปฏิบัติธรรม ตามที่พี่หน่อย (ณฐพร สิริภัคชรัสมิ์) แนะนำ เรียกว่าเป็นวัฏสงสารไปเรียนรู้ชีวิต และได้พบเจอประสบการณ์สุดโต่ง สิ่งที่เจอเดี๋ยวเล่ายาว ไว้มีโอกาสจะเล่าให้ฟัง ส่วนการวางแผนในการใช้ชีวิตและการทำงาน คือเราก็ไม่ได้ออกสื่อนานมาก ตั้งแต่เราถ่ายละครยังไม่ได้มีการมานัดเจอสื่อแล้วได้มาพูดคุยกันตั้งแต่เกิดเรื่อง ถือว่าวันนี้ก็พูดทีเดียวเลยแล้วกัน พูดให้หมด ซึ่งก็ไม่รู้สึกกดดัน เพราะเราคนทำงาน ตราบใดที่เราศรัทธาและเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเป็น ความจริงเปลี่ยนไม่ได้อยู่แล้ว ก็ต้องบอกว่าเราคือคนที่เป็นอย่างนี้ ทำงานมาตลอด เราไม่ใช่คนที่เบียดเบียนใคร เพราะฉะนั้นบางทีชะตากรรมมันก็พัดพาสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นในชีวิตเรา แต่ว่ามันอยู่มุมมองของการตั้งรับว่าเราจะตั้งรับ และหาเหลี่ยมของมันว่าเราจะมองมันยังไงให้เป็น ซึ่งวันนี้ก็ถือว่าชีวิตเราก็เหมือนละครเรื่องหนึ่ง

ส่วนการตั้งรับยังไง ก็เหมือนทุกคน เจอปัญหาแล้วเราก็ไม่คิดว่าชะตามันจะตกแต่งสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นให้กับเรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจริงๆ แล้ว พี่ปิ๊กก็คือคนที่เป็นทนายให้เรา เพราะตามกฎหมายแล้วพี่ปิ๊กจะพูดได้มากที่สุด ช่วงที่ผ่านมามีเข้าป่า ที่ จ.นครนายก ฝึกสมาธิอยู่กับตัวเอง อย่างที่ทุกคนทราบ เวลาเราเจอปัญหาหนัก ๆ เราต้องศรัทธาตัวเองก่อน และรักตัวเองให้มากที่สุด มันเป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว เราก็สู้ตามกระบวนการกฎหมายตามที่มันเป็น กฎหมายว่ายังไงเราก็สู้ตามนั้น ก็ฝากชีวิตไว้ที่พี่ปิ๊กเพราะช่วยคอยดูแลทั้งหมด พี่ปิ๊กเป็นทนายที่ให้ความช่วยเหลือได้ดีมาก ถามว่าตอนนี้กังวลใจอะไรไหม สำหรับพาร์ทการถูกกล่าวหา เราก็ถูกกล่าวหา แล้วเราก็สู้ตามกระบวนการยุติธรรม เมื่อเราได้ถูกกล่าวหาเราก็ต้องสู้ รอความจริงกับสิ่งที่เป็นความยุติธรรม เชื่อว่ามันจะรอเราอยู่ปลายอุโมงค์ เราคิดว่ามันรออยู่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นทุกคนไม่ต้องแพนิก ไม่ต้องตกใจ วันหนึ่งเดี๋ยวมันจะพิสูจน์เอง เรายังมั่นใจในคดี เชื่อในความเป็นตัวเองและศรัทธาในตัวเอง

สำหรับกำลังใจคุณแม่ดีมาก ส่งพลังไปให้แม่ เพราะตัวเราต้องเดินหน้าทำงานต่อ คุณแม่ก็เซนสิทีฟโมเมนต์ของคนแก่ ส่วนเราเป็นนักสู้มากกว่า ก็จะสู้ต่อไปค่ะ ขอบคุณมากสำหรับทุกกำลังใจ คนรอบข้างก็จะบอกเรา ต้องบอกว่าพอเรามาตรงนี้ เราเสพอะไรเยอะมากไม่ได้ มันไม่สามารถตามโซเชียลได้เลย เขาไปถึงไหนกันแล้ว ก็อาจดีเลย์นิดนึง ถ้าเกิดพูดช้าก็จะบอกว่าเราช้ากว่าเดิม คิดว่าคนที่เขาประสบความรู้สึกคล้ายๆ เรา ที่เขาไม่ได้ออกมาเล่าให้ฟังก็น่าจะเยอะ น่าจะมีหลายร้อยเรื่องที่มีชีวิตแบบนี้แล้วเอามาพูดไม่ได้เล่าไม่ได้ อยากให้มองว่าชีวิตเราก็คือนักสู้คนหนึ่ง อยากให้ดูละครตอนจบว่ามันจะเป็นยังไง เราก็ให้กำลังใจตัวเองโดยการบอกตัวเองค่อย ๆ เป็นค่อยๆ ไป ชีวิตก็เป็นแบบนี้ มุมมองของเราเท่านั้นที่จะช่วยเราให้เราตั้งรับกับเรื่องต่างๆ ส่วนเรื่องคนวิจารณ์ก็ห้ามไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติ ไปห้ามให้เขาผายลมไม่ได้ เหมือนเราห้ามไม่ให้คนเรอไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เขาระบายออกมา เราเคารพมุมมองของแต่ละคน

ส่วนงานในวงการก็มีเยอะ ประมาณ 15 งาน ส่วนใหญ่เป็นงานเดินสาย ภาพยนตร์ แต่ต้องปรึกษาทนายปิ๊กก่อนว่ารับได้มากขนาดไหน งานเดินสายไปตามแต่ละจังหวัด ไปไหว้ญาติ ส่วนงานที่เป็นผลงานเลยตอนนี้มีภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เป็นเรื่องหลัก แล้วพิ้งกี้บอกกับพี่หน่อย บอกกับมาดามว่า ตอนนี้ในหัวเรา เราอยากมาช่วยเบื้องหลังเขา และเรารู้สึกว่าเรื่องกุมาร อาจเป็นหนังที่จะได้ไปอยู่เบื้องหลังด้วย และได้อยู่เบื้องหน้าด้วย ส่วนธุรกิจไลฟ์ขายของก็ค่อยเป็นค่อยไป ขอบคุณลูกค้า พรีเซนเตอร์ ที่ยังเอ็นดูอยู่ ส่วนเรื่องขายบ้าน จริง ๆ ขายไปนานมากแล้ว ขอเคลียร์เลย ส่วนเรื่องการพนัน คุณแม่ไม่ได้เล่น ไม่มีการเล่นการพนันใดๆ บ้านคือขายไปนานมากแล้ว และบ้านนั้นก็คือบ้านที่เราซื้อให้คุณพ่อคุณแม่ จำระยะเวลาของไทม์ไลน์ไม่ได้ อยู่กับปัจจุบันค่ะ

ด้าน นายทรงพล อันนานนท์ หรือ ทนายปิ๊ก กล่าวเสริมว่า สำหรับเรื่องคดี ศาลได้มีการนัดสืบพยาน ที่เหลือรอขั้นตอนกระบวนการพิสูจน์ในทางศาล คดีจะเริ่มพิจารณาปลายเดือนสิงหาคม ปี 66 ศาลชั้นต้น แล้วจะจบเดือนกุมภาพันธ์ ปี 67 หลังจากนั้นอีกประมาณ 2-3 เดือน คงจะมีคำพิพากษาออกมา ส่วนจะมีอุทธรณ์ ฎีกาหรือเปล่า ก็คงต้องดูกันอีกที ในระหว่างนี้พิ้งกี้ก็สามารถทำงานได้ปกติ ในส่วนของคุณแม่ ทางเราก็รวบรวมพยานหลักฐานข้อมูลเพื่อที่จะเสนอต่อศาลเพื่อขอให้ปล่อยชั่วคราว คุณแม่ก็ไม่ได้เครียด เหมือนคนทั่วไปถ้าไปอยู่ในสภาวะแบบนั้นมันไม่ใช่สภาวะปกติ คงมีบ้าง แต่ในเรื่องความเครียดก็คงไม่เท่าไหร่ ถามว่าตัวคดียังไม่สิ้นสุด มีผลต่อการรับงานพิงกี้ยังไงบ้างนั้น จริงๆ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีข้อจำกัดในการรับงาน แต่อย่างที่พิ้งกี้บอก เราก็คุยกันเป็นระยะ อาจเพื่อความมั่นใจ ความสบายใจ ก็ปรึกษามา แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค เพราะศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาหรือตัดสิน ถ้าตามหลักกฎหมายสากลคือยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่แล้ว ส่วนในเรื่องที่จะไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ก็เป็นเรื่องกระบวนการในศาล เป็นเรื่องหลักฐานกันต่อไป จริงๆ คงมีผู้เสียหาย และส่วนของคุณพิ้งกี้เองก็เป็นผู้ต้องหาและเป็นจำเลยที่ถูกฟ้อง แต่อยากจะให้รอดูข้อเท็จจริง คือตรงนี้ถ้าเราจะพูดไปก่อนมันก็คงจะไม่เหมาะ หรือคงจะไปสะเทือนในเรื่องของการพิจารณาคดีของศาล ก็อยากให้ใช้วิจารณญาณในการรับฟัง หรือพิจารณาดูนิดนึงว่ามีความเกี่ยวข้องแค่ไหน ยังไง

ในส่วนเรื่องกำไล EM มีข่าวคาดเคลื่อน เราขอความกรุณาศาล เพราะเราติดเรื่องของการจะมาถ่ายทำภาพยนตร์ แต่ว่าข้อมูลทางสื่อบางท่านอาจจะได้ไปคลาดเคลื่อนหรือไม่ครบถ้วน เดี๋ยวพอเสร็จแล้วก็กลับไป จริงๆ ขอศาลไว้จนกว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจ เพราะว่าโดยลักษณะตามกฎหรือตามอะไรต่างๆ มันไม่สามารถให้ปรากฏตัวกำไลได้ ซึ่งกรณีแบบนี้ อยู่ที่เหตุผลความจำเป็นของแต่ละกรณี และสุดท้ายก็อยู่ที่ดุลพินิจของศาล

ประมวลภาพ