เมื่อวันที่ 5 มี.ค. นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ มีแผนงานประจำปี 2566 ที่ยังมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบงานด้านกงสุล โดยการทำหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ (อี-พาสปอร์ต) ขณะนี้เป็นการดำเนินการในเฟส 3 ต่อเนื่องไปถึงเฟส 4 ที่จะนำไปสู่รูปแบบดิจิทัลพาสปอร์ตซึ่งเชื่อมโยงกับระบบดิจิทัล ไอดี (ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล) ของกระทรวงมหาดไทย ขณะที่ระบบตรวจลงตราอิเล็กทรอนิกส์ (อี-วีซ่า) เป็นการขับเคลื่อนในเฟส 1 ซึ่งใช้อยู่แล้วกับสถานเอกอัครราชทูตไทยและสถานกงสุลใหญ่ของไทย 38 แห่ง ใน 23 ประเทศ โดยอี-วีซ่ามีการเก็บข้อมูลในระบบคลาวด์ และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ อาทิ การแชร์ การตรวจสอบรายชื่อ การแจ้งเตือนบุคคลในแบล็กลิสต์ การปรับปรุงระบบการค้นหาให้สะดวกยิ่งขึ้น อีกทั้ง กรมการกงสุลกำลังปรับปรุงแอปพลิเคชั่น “Thai Consular” ให้มีความเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานมากขึ้น อาทิ บริการแจ้งเตือนเมื่อหนังสือเดินทางหมดอายุ บริการจองลำดับเข้ารับบริการการรับรองนิติกรณ์เอกสารได้

นางกาญจนา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ กรมการกงสุลได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) เพื่อเตรียมรับรองและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวจากประเทศจีนที่เดินทางเข้ามาในไทยมากขึ้น ขณะที่การออกวีซ่าให้ชาวจีนยังต้องมีการตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ อย่างรัดกุมเช่นเดิม ทั้งนี้ ชาวจีนที่ขอวีซ่าจากสถานเอกอัครราชทูตไทยและสถานกงสุลใหญ่ไทย มีเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนชาวจีนทั้งหมด ขณะที่ 85 เปอร์เซ็นต์จะขอวีซ่าเมื่อเดินทางมาถึง ณ จุดตรวจคนเข้าเมืองของไทย (Visa on Arrival) และสามารถขอขยายระยะเวลาการพำนักในไทยจากทาง ตม.ด้วย