ทำเอาหลายคนสงสัยหนักมากหลังนักร้องสาวมาดติสท์ “นท พนายางกูร” ออกมาเปิดใจหลังห่างหายจากเส้นทางดนตรี เพื่อไปทำงานด้านการอนุรักษ์ พร้อมเล่าสาเหตุที่ออกจากวงการ เพราะไม่มีความสุข ไม่เป็นตัวเอง จนขาดความมั่นใจถึงขนาดไม่กล้าร้องเพลง และกลัวเสียงร้องของตัวเอง ในรายการ WOODY FM แบบจัดเต็ม

นท เผยว่า “ณ วันนี้เป็นตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว (ยิ้ม) ให้เล่าคือตอนนั้นก็ท้าทาย แล้วก็รู้สึกว่ามันสอนให้เรา เป็นคนที่เราเป็นในปัจจุบันนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือว่าการอยู่กับคน ทำให้เราเห็นทุกมิติการทำงานของมนุษย์ และทำให้เข้าใจการที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรา เรื่องหนักในชีวิตเราหลัก ๆ ก็คือไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง 100% แต่คือนทเองก็สุดโต่งเหมือนกัน นทมาจากคนที่ไม่ได้ติดตามวงการบันเทิงเลย ไม่มีทีวีในห้องนอน ไม่ดูทีวีในชีวิตประจำวัน ทำให้เราไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง ตอนออกจากวงการไปรู้สึกโล่งนะ เราอยากหาบาลานซ์ที่ดีกับการใช้ชีวิตในวงการนี้ ในการทำงานในวงการนี้ต่อไป เพราะหรือสึกว่าที่ผ่านมามันอาจจะไม่มีความสมดุลในการใช้ชีวิต อย่างเปิดเผยอะไรที่มันเป็นส่วนตัวเยอะเกินไป ซึ่งเราอาจจะไม่สบายใจ ก็เลยถอยกลับมาหาบาลานซ์ให้กันและกัน รู้สึกว่ามันแฮปปี้กว่า พอมีบาลานซ์ที่ดี พอเราอยู่ในวงการบางทีเราก็หลงระเริงไปกับอะไรหลายอย่างที่มันเกิดขึ้น เพราะชีวิตมันเร็วมาก ทุกวันทำงาน ทุกวันเจอคนเยอะมาก มีอะไรเข้ามาเต็มไปหมดเลย ทำให้บางทีเราไม่สามารถกลับมาเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นใคร ต้องการทำอะไร และเรามีเป้าหมายอะไรในชีวิตนี้”

“เราเริ่มตั้งคำถามตอนที่เรารู้สึกว่ามันไม่มีความสุข ทำงานทุกวันแต่รู้สึกว่าไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร ทำไปเพื่อใคร แล้วทำให้อะไรดีขึ้นหรือเปล่า ใช่เราร้องเพลงทำให้คนมีความสุข ได้ทำโน้นนี่ที่เป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์ทำให้คนมีความสุข แต่ว่านอกเหนือจากนั้นล่ะ อะไรที่มันลึกซึ้งกว่านั้น การที่เราได้ร้องเพลง การที่เราได้เล่นละคร มันทำให้โลกดีขึ้นหรือเปล่า เราสร้างอิมแพ็คอะไรที่ใหญ่กว่าคำว่าความสุขหรือเปล่า เมื่อเราโชคดีมาอยู่ตรงนี้ มีแพลตฟอร์มที่คนรู้จักคนติดตาม ควรใช้ตรงนี้ให้มันมากกว่าแค่ความสุข ควรให้ความรู้ ความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งที่สำคัญ เช่น การรู้จักตัวเอง การเข้าใจตัวเองเหมือนที่เราผ่านมา หรือว่าเรื่องสิ่งแวดล้อม ช่วงที่เข้าวงการใหม่ ๆ ตอนที่อยู่ภายใต้สัญญา แต่ว่าทั้งหมดทั้งมวล นทก็รู้สึกว่ามันก็สอนให้เราเข้าใจว่าการที่เราทำงานตรงนี้ไม่สามารถที่จะบอกว่าฉันต้องการอย่างงี้แล้วฉันต้องได้ 100% เราต้องฟังคนอื่น ฟังทีมงาน ฟังคนที่เขาเป็นผู้ลงทุนกับตัวเรา ซึ่งตอนนั้นมันยากนะ แล้วก็มีการฝ่าฟันหลายอย่างมาก เคยมีช่วงหนึ่งที่เรามีแต่การพูดลบ ๆ เกี่ยวกับสิ่งนี้ เรารู้สึกว่ามันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่การปล่อยพลังงานลบ ไม่ได้ทำให้เราดีขึ้น มีแต่ปัญหาที่เกิดขึ้น”

นท เล่าต่อว่า “เรื่องเศร้าที่สุดในชีวิตคือ การที่นทเข้าวงการใหม่ ๆ นทต้องร้องเพลง หรือว่าต้อง Perform อะไรที่มันไม่ได้เป็นตัวเอง เวลาที่เราร้องบางทีเราก็ต้องร้องตามที่เขาเทรนนิ่ง ตามที่เขาบอก มันทำให้เวลาที่เราร้องเพลง เราใช้กล้ามเนื้อในคอใช่ไหม พอเราร้องไปเรื่อย ๆ กล้ามเนื้อมันจำ มันเป็น Muscle Memory ทำให้เสียงเราเวลาร้องเพลงมันเปลี่ยน จากตั้งแต่เด็กเราชอบร้องเพลงมาก ชอบฟังเสียงตัวเอง อาบน้ำก็ร้องเพลง ขับรถก็ร้องเพลง กลายเป็นว่าไม่กล้าร้องเพลงไปเลย กลัวเสียงตัวเอง เป็นเหมือนแผลในใจเรื่องการเปล่งเสียงออกมา เพราะว่าเรากลัวเสียงร้องตัวเองไปเลย เป็นอยู่นานเพิ่งแก้ไขได้ไม่กี่ปีนี้ ประมาณเกือบ 10 ปีได้ ทุกครั้งที่จะต้องร้องขึ้นมามันรู้สึกไม่มั่นใจ รู้สึกว่าตัวเองร้องเพลงไม่เพราะ นทว่าก็ต้องรักตัวเองเยอะ ๆ แล้วก็ยกโทษให้ตัวเอง ไม่ใช่แค่ยกโทษให้คนอื่น แต่ยกโทษให้ตัวเองที่ทำให้เสียงตัวเองเปลี่ยน หลาย ๆ คนอาจจะไม่ค่อยชินกับการยกโทษให้ตัวเองใช่ไหม นทว่าอันนี้เป็นอะไรที่มันสำคัญมาก เพราะถ้าเราสามารถยกโทษให้ตัวเองได้ สามารถที่จะบอกรักตัวเอง แล้วก็สามารถที่จะแชร์สิ่งนี้ให้กับคนอื่น เพราะถ้าเราไม่สามารถทำอย่างงี้กับตัวเองก็ไม่สามารถทำกับคนอื่นได้ หลังจากหมดสัญญา นทก็ไปทำวงอิเล็กทรอนิกส์ชื่อว่า X0809 ได้ทำในหลาย ๆ อย่างที่เราเคยฝันว่าอยากทำในแง่ดนตรี พอไม่มีค่ายเราต้องทำทุกอย่างเอง แล้วมันถึงจุดหนึ่งที่เวลาเราเดินทางไปต่างประเทศ ต้องทำทุกอย่างเอง แล้วมันเกิดภาวะหมดไฟ เพราะว่ามันเหนื่อยเกินไป หลังจากนั้นก็กลับมาทำงานศิลปะอีกรอบหนึ่ง ก็พูดถึงเรื่องพลังงาน เรื่องการรักษา เรื่องการหายใจ พอทำตรงนี้ไปถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกว่าเราเริ่มเต็ม แล้วรู้สึกว่าเราฮีลตัวเองในการฮีลคนอื่น ๆ ไปด้วยในระดับหนึ่ง ก็เลยรู้สึกว่าเราอยากจะสื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย เพราะพอเราทำไปถึงจุดหนึ่งแล้วรู้สึกว่าจริง ๆ แล้วมันเกี่ยวข้องกันหมดเลย ทุกวันนี้จะมี 2 โปรเจกต์หลักที่ทำจะมีแพลตฟอร์มชื่อว่า HIGH ON YOUR OWN SUPPLY ไม่แสวงหาผลกำไร เป้าหมายของเราก็คือเชื่อมโยงคนกับตัวเอง และเชื่อมโยงคนกับธรรมชาติ”