ในวันที่รู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนแอในวันที่เหมือนสารพัดปัญหาโหมกระหน่ำเข้ามาในชีวิตพร้อมกัน ทำให้เราแทบล้มทั้งยืน กอดตัวเองไว้ให้แน่นที่สุด กำลังใจจากตัวเองนี้แหละ จะทำให้เรายืนหยัดและเดินต่อไปได้ แม้ในวันที่เราไม่เหลือใคร

 “นางปฏาจารา” พระสาวิการูปหนึ่ง เธอเป็นธิดาของเศรษฐีในกรุงสาวัตถี เป็นหญิงสาวที่รูปร่างงดงาม ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากบิดามารดา เมื่อเธออายุได้ 16 ปี เธอหลงรักชายคนใช้ในบ้านของตนเอง ในวันที่บิดามารดาจัดงานแต่งงานให้เธอกับชายหนุ่มซึ่งเป็นบุตรของเศรษฐี เธอตัดสินใจหนีออกจากบ้านพร้อมคนใช้ไปสร้างบ้านเล็กๆ อยู่ป่าอันทุรกันดาร

เธอมีความสุขมาก ที่ได้อยู่กับชายคนรัก แม้จะลำบากทุกข์ทรมานเพียงใด เวลาผ่านไปไม่นาน เธอตั้งครรภ์ ครั้นถึงเวลาใกล้คลอด เธอมีความกังวลใจ เพราะไม่มีบิดามารดาคอยดูแล เธอจึงขอร้องให้สามีพากลับบ้าน สามีปฏิเสธคำขอร้อง เพราะกลัวว่า บิดามารดาของเธอจะลงโทษ เธอจึงตัดสินใจหนีกลับไปหาบิดามารดา แต่เธอไปไม่ถึง คลอดบุตรคนแรกในระหว่างทาง

กาลเวลาต่อมา เธอได้ตั้งครรภ์อีกเป็นครั้งที่สอง และได้ขอร้องสามีเหมือนครั้งก่อน แต่สามีปฏิเสธคำขอร้องเช่นนั้นอีก เธอจึงพาลูกน้อยผู้กำลังหัดเดินหนีออกจากบ้าน ระหว่างทางเธอปวดท้องอย่างรุนแรงเพราะกำลังจะคลอดบุตร ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก สามีตามไปพบเธอดิ้นทุรนทุรายอยู่ท่ามกลางสายฝน สามีจึงไปตัดไม้ เพื่อนำมาทำที่กำบังฝนชั่วคราว แต่โชคร้ายเขาถูกงูพิษกัดถึงแก่ความตาย

“ปฏาจารา” คลอดบุตร แล้วเธออุ้มทารกแรกเกิด และจูงบุตรน้อยตามไปพบศพของสามี เธอเสียใจมาก จึงตัดสินใจจะพาบุตร ไปหาบิดามารดาในเมือง เมื่อเธอมาถึงลำธารใหญ่ที่น้ำกำลังไหลเชี่ยว เธอไม่สามารถ จะพาบุตรข้ามน้ำพร้อมกันได้ จึงให้บุตรคนโตยืนรอที่ฝั่งข้างหนึ่ง แล้วอุ้มทารกแรกเกิดเดินข้ามน้ำไปอีกฝั่งหนึ่ง และวางทารกน้อยไว้ที่อันเหมาะสม ขณะเดินข้ามน้ำมาถึงกลางน้ำ เพื่อรับบุตรคนโต เธอเห็นเหยี่ยวตัวหนึ่ง กำลังบินโฉบลงเพื่อจิกลูกคนเล็ก เธอจึงยกมือขึ้นไล่เหยี่ยว แต่ไม่อาจช่วยชีวิตทารกน้อยได้ เพราะเหยี่ยวมองไม่เห็นอาการของนางที่ขับไล่ จึงเฉี่ยวทารกน้อยของนางไป บุตรคนโตมองเห็นเธอยกมือขึ้นทั้งสองข้าง ก็เข้าใจว่ามารดาเรียกตน จึงก้าวลงสู่แม่น้ำอันเชี่ยวและถูกน้ำพัดพาหายไป       

“ปฏาจารา” ได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในเวลาใกล้กัน แต่เธอยังมีสติ เธอเดินร้องไห้เข้าไปสู่เมืองสาวัตถี และได้ทราบข่าวจากชาวเมืองคนหนึ่งในระหว่างทางว่า ลมและฝนได้พัดเรือนบิดามารดาของเธอพังทลาย และเจ้าของบ้านก็ตายไปด้วย ครั้นเมื่อเธอทราบข่าวเช่นนี้ เหมือนฟ้าผ่าลงกลางหัวใจเธอไม่เหลือใครแล้ว แม้แต่คนเดียวเธอก็ไม่สามารถตั้งสติไว้ได้ นางสลัดเสื้อผ้าทิ้ง วิ่งเปลือยกายเข้าไปวัดพระเชตวันมหาวิหาร ขณะที่ พระพุทธเจ้า กำลังทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท คนทั้งหลายเมื่อเห็นเธอก็ร้องบอกกันว่าคนบ้าๆ อย่าให้เข้ามา

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ปล่อยให้นางเข้ามาเถิด” แล้วตรัสเตือนสติ “ปฏาจารา” ได้สติ พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเกี่ยวกับเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเธอ เธอได้ฟังพระธรรมเทศนา อันแสดงถึงความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่ง พิจารณาไปตามพระธรรมเทศนานั้นจึงได้บรรลุโสดาปัตติผล และทูลขออุปสมบท พระองค์จึงทรงอนุญาตให้นางบวชในสำนักนางภิกษุณี

ต่อมา นางภิกษุณีปฏาจารา ได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ว่า “คนที่ไม่เห็นความเสื่อมสิ้นไปในเบญจขันธ์ แม้มีชีวิตอยู่ร้อยปี ก็ไม่ประเสริฐ เท่าคนที่มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว แต่มองเห็นความเสื่อมสิ้นไปในเบญจขันธ์” เมื่อจบพระธรรมเทศนา นางภิกษุณีปฏาจารา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล 

เราอาจไม่รู้ล่วงหน้าว่า จะต้องเผชิญกับความสูญเสียอะไรบ้างในชีวิต เราอาจไม่เหลือใครเลยในชีวิต เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่า คนที่เรารักจะอยู่กับเราไปตลอด ไม่จากวันนี้ ก็จากวันหน้า ไม่จากเป็นก็จากตาย สิ่งสำคัญ คือ กอดตัวเองให้แน่น เพราะในวันที่เราอ่อนแอ เราอาจไม่เหลือใครให้กอด ยกเว้น ตัวเอง

………………………………………………

คอลัมน์ : ลานธรรม

โดย : พระครูปลัดบัณฑิต อินฺทเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสังข์กระจายวรวิหาร รองประธานเครือข่ายธรรมะอารมณ์ดี