แม้จะอยู่กลุ่มเดียวกับ “แชมป์เก่า” เวียดนาม, “เสือเหลือง” มาเลเซีย รวมทั้ง 2 ทีมประมาทไม่ได้ สิงคโปร์ และ ลาว

แต่ “โค้ชหระ” อิสสระ ศรีทะโร เฮดโค้ชทีมชาติไทย ชุด 23 ปี ก็ยังพอใจ เนื่องจากโปรแกรมแข่งขันที่ไม่ถี่นัก

“กับการจับสลากก็โอเค เรายังไงก็ได้ เราได้เจอกับทีมแข็งหน่อยสองทีม เป็นสิ่งที่ดีในการพัฒนาทีม ส่วนโปรแกรมจะห่างเล็กน้อยๆ ถือว่าน่าพอใจ เพราะว่าเราเจอสิงคโปร์ เรามีเวลา มาเจอ มาเลเซีย และมาเจอ ลาว ก็ได้วางแผน”

เมื่อเช็กจากโปรแกรมแข่งขัน ก็จะเห็นได้ว่า แม้คู่แข่งไม่ธรรมดา แต่คิวเตะของไทย ถือว่าดีเลย

วันที่ 30 เม.ย. เวลา 16.00 น. พบ สิงคโปร์

วันที่ 6 พ.ค. เวลา 16.00 น. พบ มาเลเซีย

วันที่ 8 พ.ค. เวลา 16.00 น. พบ ลาว

วันที่ 11 พ.ค. เวลา 19.00 น. พบ เวียดนาม

โดยทุกนัดเตะที่ ปรินซ์ สเตเดี้ยม

ส่วน รอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศ จะแข่งขันกันที่ สนามกีฬาแห่งชาติ มรดกเตโช ในวันที่ 13 และ 16 พ.ค.

ทีมไทยอยู่กลุ่ม B ทำให้มีเวลามากขึ้น(กลุ่ม A เริ่ม 29 เม.ย.) บินไปถึงวันที่ 27 เม.ย. มีเวลาซ้อมอีก 2 วัน ไม่รวมวันเดินทาง จึงเปิดหัวนัดแรกกับ สิงคโปร์ วันที่ 30 เม.ย.

ถ้าผ่านไปได้ไม่เสียศูนย์ มีเว้นว่างถึง 5 วัน ให้ โค้ชหระ ปรับจูน ก่อนชนของแข็ง มาเลเซีย

เว้น 1 วัน แม้เวลาน้อย แต่ก็เจอทีมไม่แกร่งมากอย่าง ลาว

ก่อนหยุด 2 วัน แล้วทิ้งท้ายคู่ปรับเก่า เวียดนาม

กุญแจสำคัญคือ ลงเตะวันที่ 30 เม.ย. มีเวลาล่วงหน้า แล้วเปิดเจอไม่แข็งนัก จากนั้นได้พักยาว ปรับทีม

2 นัดแรกผ่านไปสวยๆ เส้นทางน่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ

แต่ถ้าออกสตาร์ตสะดุด กับสิงคโปร์

งานนี้ตัวใครตัวมัน

มองต่อไป ผ่านรอบแรกไปได้ ถึงจะเป็นช่วงชุลมุนงานหนัก

เตะนัดสุดท้ายรอบแรก 11 พ.ค. มีเวลาพัก 1 วัน เตะรอบรอง 13 พ.ค.

คู่แต่แข่ง ดูแล้วไม่ใช่อวย “เจ้าภาพ” กัมพูชา, อินโดนีเซีย, เมียนมา หรืออาจ ฟิลิปปินส์

ไทยก็ดีกว่า

แต่หากเจอ กัมพูชา อาจเครียดหน่อย

จากนั้นพัก 2 วัน รอบชิงฯ วันที่ 16 พ.ค.

ไปถึงขั้นนั้นก็ได้ฉะ ได้วัดกันหมดแล้ว

จะวนมาเจอเวียดนามก็ได้

เล่นสนามกลาง ยังไงก็ไม่มีเป็นรอง.

*** วุฒินล ***