สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานจากกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 6 เม.ย. ว่า คลื่นความร้อนในฤดูร้อนที่รุนแรง, ฤดูหนาวที่หนาวเย็นกว่าปกติทางตอนเหนือของอินเดีย และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าพุ่งสูง ส่งผลให้อินเดียต้องเพิ่มผลผลิตจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์ฟาร์ม เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดไฟ
การวิเคราะห์ข้อมูลโหลดรายวันจากหน่วยงานกำกับดูแล “กริด-อินเดีย” เผยให้เห็นว่า การผลิตไฟฟ้าของอินเดียเพิ่มขึ้น 11.5% เป็นราว 1.5 ล้านล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง หรือหน่วย ในปีงบประมาณที่สิ้นสุดเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุด นับตั้งแต่ปีงบประมาณที่สิ้นสุดเมื่อเดือน มี.ค. 2533
India's power output grows at fastest pace in 33 years, fuelled by coal https://t.co/qeTfLwGUkO
— Reuters Energy and Commodities (@ReutersCommods) April 5, 2023
นอกจากนี้ การวิเคราะห์ยังเผยให้เห็นว่า ผลผลิตจากโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้น 11.2% ซึ่งเป็นการเติบโตที่เร็วที่สุดในรอบกว่า 30 ปี อันเป็นผลมาจากการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินที่เพิ่มขึ้น 12.4% โดยชดเชยการผลิตจากโรงไฟฟ้าก๊าซสะอาดที่ลดลง 28.7% เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ที่พุ่งสูงทั่วโลก ขัดขวางการใช้งาน
อย่างไรก็ตาม การเร่งความเร็วในการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินของอินเดีย เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงขึ้น คือสิ่งที่เน้นย้ำถึงความท้าทายที่อินเดียต้องเผชิญ เกี่ยวกับการลดคาร์บอนในเศรษฐกิจ ควบคู่กับการพยายามรับประกันความมั่นคงด้านพลังงาน แก่ชาวอินเดียประมาณ 1,400 ล้านคน
แม้ว่าการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เพิ่มขึ้นเพื่อผลิตไฟฟ้าในอินเดีย จะทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระหว่างปี เพิ่มขึ้นเกือบ 1 ใน 6 เป็น 1,150 ล้านตัน แต่รัฐบาลอินเดีย แก้ต่างการใช้ถ่านหินในระดับสูง โดยกล่าวถึงการปล่อยมลพิษต่อหัวที่ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับประเทศซึ่งร่ำรวยกว่า และผลผลิตพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น.
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES