ทุกวันนี้ปัญหาอากาศร้อน ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนไทยเท่านั้น แต่ทั่วโลกต่างเผชิญปัญหาอุณหภูมิสูงขึ้นเช่นกันหมด ส่งผลให้หลายๆ ประเทศ มีความต้องการใช้เครื่องปรับอากาศจำนวนมาก และทำให้เครื่องปรับอากาศกลายเป็นกลุ่มสินค้าส่งออก ที่น่าจับตามองของเมืองไทยไปตีตลาดโลก
ข้อมูลจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ด้วยสภาพอากาศทั่วโลกที่ร้อนขึ้นในหลายภูมิภาค ส่งผลให้หลายประเทศมีความต้องการใช้ และนำเข้าเครื่องปรับอากาศจากไทยมากขึ้น โดยสถิติการค้าระหว่างประเทศ พบว่า เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนเป็นสินค้าส่งออกสำคัญที่มีมูลค่าการส่งออกเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้สร้างรายได้เข้าสู่ประเทศจำนวนมาก ปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน อันดับ 2 ของโลก เป็นรองแค่จีน โดยในปี 65 ไทยส่งออกไปตลาดโลก มูลค่า 7,044 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
สำหรับในช่วง 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ. 66) ไทยส่งออกเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนไปตลาดโลก มูลค่า 1,423 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่างหรือติดผนัง มีสัดส่วนถึง 68% ของการส่งออกเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนทั้งหมด
รายชื่อประเทศนำเข้าเครื่องปรับอากาศ สูงสุด 6 อันดับแรก
- สหรัฐ
- สหภาพยุโรป
- อาเซียน
- ออสเตรเลีย
- อินเดีย
- ญี่ปุ่น
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศของไทยยังมีโอกาสส่งออกไปตลาดโลกมากขึ้น เนื่องจากได้เปรียบด้านอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอย่างครบวงจร รวมทั้งการเติบโตของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ไทยมีกับคู่ค้า 18 ประเทศ ขยายส่งออกสินค้าไปตลาดการค้าเสรี ซึ่งจะช่วยปลดล็อคกำแพงภาษีและสร้างแต้มต่อให้กับสินค้าไทย
ปัจจุบันคู่ค้า เอฟทีเอ 16 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง ไม่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนจากไทยแล้ว เหลือเพียง 2 ประเทศ ได้แก่ จีน และอินเดีย ที่ยังคงเก็บภาษีนำเข้าบางรายการ อาทิ จีน เก็บภาษีเครื่องปรับอากาศในยานยนต์ อัตรา 5% และอินเดีย เก็บภาษีเครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่างหรือผนัง และเครื่องปรับอากาศในยานยนต์ อัตรา 5%
นอกจากนี้ กรมยังเดินหน้าผลักดันให้ประเทศคู่ค้าเปิดตลาดสินค้าเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนเพิ่มเติมให้ไทย ภายใต้การเจรจาเอฟทีเอ กรอบต่างๆ ทั้งการทบทวนความตกลงที่มีอยู่แล้ว และที่อยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งจะเป็นข้อได้เปรียบทางด้านภาษี และช่วยขยายส่วนแบ่งตลาดให้กับสินค้าไทยในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการควรพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้ทันสมัย คำนึงถึงความต้องการของตลาด มุ่งเน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน อาทิ การใช้เทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์ เพื่อประหยัดพลังงาน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคใหม่