เรียกได้ว่านาทีคงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก “พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ” พระนักเคลื่อนไหวในโซเชียล ที่เหล่าชาวเน็ตต่างพากันถูกใจในการเทศนาธรรมที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย พร้อมทั้งมีมุกตลกและสามารถใช้ศัพท์วัยรุ่นสมัยนี้ได้อย่างชำนาญ จนมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก

ซึ่งล่าสุดก็ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์การเข้าชมไลฟ์สดในวงการสงฆ์เลยก็ว่าได้ที่ต้องบอกว่าฮอตจริงและฮอตมาก สำหรับการแบทเทิลระหว่างพระนักเทศน์ 2 รูป อย่าง พระมหาสมปอง และ พระมหาไพรวัลย์ ซึ่งในไลฟ์สดนั้นมีผู้ติดตามชมสดมากกว่า 2 แสนรายเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามกลับมีความคิดเห็นบางส่วนมองถึงความไม่เหมาะสม ซึ่งมองว่าการเป็นพระควรสำรวมมากกว่านี้นั้น

อาจเป็นรูปภาพของ 2 คน และข้อความ

ความคืบหน้าล่าสุด พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงเรื่องดังกล่าว ระบุว่า “ไม่สำรวมแบบนี้ใครจะศรัทธา หัวเราะ = ศาสนาเสื่อม อาตมาคิดว่า แน่นอนทีเดียวในการที่อาตมาเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการในการเผยแผ่ศาสนาแล้ว จะต้องมีชาวพุทธบางกลุ่มมองว่า ไม่เหมาะ ไม่ควร ทำให้ศาสนาเสื่อม หรือทำให้คนหมดศรัทธา ไม่ว่าชาวพุทธกลุ่มนั้น จะมองแบบไหน อาตมาไม่ขอปฏิเสธเลย

อาตมาจะเขียนให้ชัดอีกครั้งว่า เหมาะสมทั้งหมด ไม่มีทางเป็นไปได้ และไม่เหมาะสมทั้งหมด ก็อาจไม่มีอยู่จริง ธรรมะมันเหมือนกับอะไรบางอย่าง ซึ่งมีหลายระดับและเหมาะกับคนแต่ละช่วงวัยแตกต่างกันไป บางคนอาจจะชอบกับรสขมของอเมริกาโน่ ในขณะที่บางคนอาจกินได้แค่ลาเต้อย่างเดียว

อาตมาปลื้มใจมากนะ วันนี้มีโยมคณะหนึ่งมาขอพบอาตมา อาตมาถามเขาว่า พวกโยมมาจากไหน เขาตอบว่า มาจากบ้าน (สภาพพพพนะน้องนะ) อาตมาจึงโล่งใจที่จะลงไปคุยด้วย คือถ้าบอกว่า มาจากโรงพัก ก็อาจจะคิดหนักหน่อย

ในคณะที่ว่านี้ มีโยมผู้หญิง 2 คน เป็น 2 แม่ลูก คนแม่ชื่อว่าโยมผึ้ง ส่วนคนลูกอาตมาจำไม่ได้ (ถ้าจำได้เดี๋ยวคนมาเขียนใส่ทีหลัง) (จำได้แล้วชื่อพิ้งกี้) ความพิเศษของสองแม่ลูกนี้ ก็คือว่า โยมผู้หญิงที่เป็นลูกอายุ 22 และเมื่อตอนที่เธออายุ 18 คือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เธอขออนุญาตแม่ของเธอเพื่อที่จะเลิกนับถือศาสนา และกลายเป็นคนไม่มีศาสนา ทั้งโดยพฤตินัยและนิตินัย

อาตมาคุยกับโยมผึ้งผู้เป็นแม่ โยมผึ้งบอกว่า ด้วยการที่ตัวเองเป็นครูด้วย ตอนนั้น ก็เผื่อใจ คือไม่ขัดขวางลูก และพร้อมรับฟังเหตุของลูกในการอยากเลิกนับถือศาสนา เธอแนะนำให้ลูกของเธอไปจัดการเรื่องบัตรประชาชน ตามความประสงค์อย่างที่ลูกอยากจะเป็น เธอบอกว่า เธอถามลูกว่า แล้วหนูจะนับถืออะไร ยึดเหนี่ยวอะไร ลูกของเธอก็ตอบว่า หนูขอนับถือตัวเองและมีแม่เป็นที่ยึดเหนี่ยวก็พอ ลูกของเธอสักคำว่าแม่ ไว้ที่หน้าอกด้วย โยมผึ้งกล่าว

โยมผึ้งเล่าต่อไปว่า ที่เป็นเรื่องที่เธอรู้สึกตกใจและเซอร์ไพร้ส์เป็นอย่างมาก คือตลอดระยะเวลา 4 ปี นับตั้งแต่ที่ลูกของเธอเลิกนับถือศาสนา ลูกของเธอแทบจะไม่เข้าวัดเลย ไม่เข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาใดๆ เลย ถ้าไปวัดด้วยกัน ลูกเธอมักจะขอรออยู่ด้านนอกตลอด

โยมผึ้งกล่าวว่า การที่ลูกของเธอเลิกนับถือศาสนา อาจนำความลำบากใจมาให้กับเธอบ้าง บางครั้งเธออยากไปปฏิบัติธรรมที่วัดต่างจังหวัดตามคำแนะนำของเพื่อน แต่เมื่อลูกไม่ไปด้วย ก็ทำให้เธอเดินทางไปไม่ได้ ในความไม่เห็นตรงกันเรื่องศาสนานี้ ทำให้โยมผึ้งกับลูกสาวของเธอคุยกันน้อยมาก

อาตมาสนทนากับโยมผึ้ง โยมผึ้งบอกว่า ที่ทั้งรู้สึกดีใจและตกใจ เพราะ 2-3 วันที่ผ่านมานี้ ในทุกๆ คืน เธอจะเห็นลูกของเธอฟังธรรมะตลอด (ธรรมะอะไรก่อน สภาพพ) และเมื่อวันนี้ที่เป็นวันเกิดเพื่อน เธอได้ลองชวนลูกของเธอมาทำบุญที่วัดด้วย ลูกเธอ ตอบตกลง

โยมผึ้งบอกว่า แปลกใจมาก เพราะมาทำบุญวันนี้ ลูกเธอไม่ปฏิเสธในการเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาเมื่อครั้งก่อนๆ ลูกช่วยยกสังฆทาน ผ้าไตร และเป็นคนนำเธอเข้าไปหาพระด้วยซ้ำ “เขากรวดน้ำด้วยนะ” โยมผึ้งพูดแบบคนที่ทั้งรู้สึกดีใจและแปลกใจ เรื่องของโยมผึ้งและโยมพิงกี้ สร้างความประทับใจให้กับอาตมามากๆ แม้ในตอนนี้โยมพิ้งกี้จะยังไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ และเป็นคนที่เรียกตัวเองว่า “ไม่มีศาสนา” อยู่

อาตมาคงต้องพูดซ้ำๆ แหล่ะว่า รูปแบบของการสอนธรรมะ มันก็มีบริบทและกลุ่มคนที่จะรับฟัง แตกต่างกันไป การสอนในรูปแบบหนึ่ง อาจจะเหมาะกับคนกลุ่มหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกัน อาจจะไม่เหมาะกับคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้

อาตมาไม่สามารถทำให้ใครรู้สึกพึงพอใจในรูปแบบการสอน การเทศน์ การพูด หรือแม้แต่การประพฤติตัวของอาตมาได้นะ แต่ในขณะเดียวกัน อาตมาก็มั่นใจว่า ทุกคนสามารถเลือกเสพในสิ่งที่เหมาะหรือถูกจริตของตนเองได้ ดังนั้น เชื่ออาตมาเถอะ อย่ายอมให้อาตมากลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า ความทุกข์หรือความขัดข้องใจของใครเลย สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ควรจะท่องจำให้ได้แบบท่านนายกกันบ้าง ดีใจนะ ที่ได้คุยกับโยมพิงกี้ ดีใจที่เราดูศาสดาขอพักร้อนเหมือนกัน เอาอะไรมาเสื่อม ถามก่อนนน สภาพพ”..

ขอบคุณภาพประกอบ : พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ