สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ว่า ศาลฎีกาสหรัฐมีคำพิพากษา เมื่อวันพฤหัสบดี ว่าสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาทุกแห่งในประเทศ ต้องยุติการพิจารณารับนักศึกษา “โดยใช้เรื่องเชื้อชาติและสีผิวเป็นเกณฑ์ร่วมพิจารณา”
The US Supreme Court sharply limited the use of race as a factor in university admissions.@itskelseybutler explains https://t.co/UzUi2IuI8v pic.twitter.com/VooNe1GHZG
— Bloomberg Quicktake (@Quicktake) June 29, 2023
มติดังกล่าวของศาลสูงสุดแห่งสหรัฐ ถือเป็นการยุตินโยบายที่เรียกว่า “การให้สิทธิเฉพาะกลุ่ม” หรือ “การเลือกปฏิบัติเชิงบวก” ที่มหาวิทยาลัยและวิทยาลัยทุกแห่งในประเทศใช้มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1960 นัยว่า “เพื่อส่งเสริมความหลากหลาย” ของนักศึกษา แต่เป็นนโยบายซึ่งเป็นที่ถกเถียงในวงการศึกษาของสหรัฐจนถึงปัจจุบัน
คำพิพากษาของศาลฎีกา เป็นการร้องเรียนโดยภาคประชาสังคมหลายแห่ง ต่อกรณีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา โดยกลุ่มผู้ร้องให้เหตุผลว่า การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและสีผิว เป็นการแบ่งแยกระหว่างนักศึกษาอเมริกัน กับนักศึกษาเอเชีย-อเมริกัน และนักศึกษาจากเอเชีย
The odds have been stacked against working people for too long – we cannot let today's Supreme Court decision effectively ending affirmative action in higher education take us backwards.
— President Biden (@POTUS) June 30, 2023
We can and must do better. pic.twitter.com/Myy3D5jUGH
ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ประณามคำพิพากษาของศาล โดยเรียกร้องให้สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา เดินหน้า “การรับนักศึกษาบนพื้นฐานของความหลากหลาย” และเรียกศาลฎีกาว่า “ไม่ใช่ศาลปกติ”
อย่างไรก็ตาม เนื้อหาจากแถลงการณ์ตอนหนึ่งของคณะตุลาการ ระบุว่า การให้สิทธิเฉพาะกลุ่ม เป็นการดำเนินการที่ละเมิดรัฐธรรมนูญสหรัฐ ว่าด้วยการจัดตั้งและปกป้องความเท่าเทียม การรับนักศึกษา “ไม่ใช่เกมผลรวมศูนย์เพื่อการแพ้ชนะ” การมอบสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้สมัครเพียงบางกลุ่ม โดยเพิกเฉยต่อผู้สมัครอีกจำนวนมาก ซึ่งมีศักยภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน บ่งชี้ว่า การให้สิทธิเฉพาะกลุ่ม “มอบประโยชน์เฉพาะกับคนส่วนน้อย”.
เครดิตภาพ : AFP