เมื่อวันที่ 10 ก.ย. นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้โพสต์แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊ก @Nithi Mahanonda ระบุถึงการแก้ปัญหาเรื่องการเปิดภาคเรียนของนักเรียนในช่วงวิกฤติโควิด-19 ระบุว่า “ช่วงนี้ 27% ของเคสใหม่ใน อเมริกาเป็นเด็กเยาวชน สำหรับประเทศไทยอย.และกระทรวงสธ. และผมขอเพิ่มกระทรวงศึกษาธิการคงไม่อยากเห็นแบบนี้ในประเทศ” ทางเดินมีได้สองทางคือ 1)ไม่ต้องเปิดเรียนไปเรื่อยๆและฉีดวัคซีนให้ผู้ใหญ่ให้ได้มากกว่านี้ก่อน 2)ฉีดวัคซีนให้เด็กแล้วเปิดเรียนด้วยมาตรการรักษาระยะห่างใส่หน้ากากเลี่ยงที่แออัด อย่าเคร่งครัด

“ยิ่ง อย.ยิ่งคิดและตัดสินใจช้า เด็กก็คงกลับไปโรงเรียนไม่ได้ หรือได้แต่เสี่ยง” อย่างที่เคยพูดไว้นานมาแล้วว่า เรื่องของระบาดวิทยาการระบาดของโรคแบบโควิดนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องทางการแพทย์อย่างเดียว แต่สังคมวิทยามีความสำคัญพอๆกันหรือมากกว่า เด็กๆทั้งวัยเรียนประถม มัธยม และอุดมศึกษา ไม่ได้กลับไปชั้นเรียนมากันกว่าปีแล้ว เด็กๆไม่ได้เจอเพื่อนตัวเป็นๆ ไม่ได้คุยกันเสียงดังๆ ไม่ได้แอบกินขนมหรือแอบเล่นโทรศัพท์ในห้องเรียนให้ครูดุ กันทั้งปี เด็กที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้ยังไม่เคยได้ไปใช้ชีวิตใหม่ที่โลดโผนในปีแรกของการเป็นน้องใหม่ในมหาวิทยาลัย “เด็กรุ่นช่วงนี้คงเกิดแผลเป็นในการพัฒนาทางสังคมไปตลอดจนเป็นผู้ใหญ่”

นี่ไม่นับคุณภาพการเรียนการสอนอออนไลน์ที่เด็กและครูในเมืองกับคุณภาพอินเทอร์เน็ตที่แตกต่าง “จะยิ่งทำให้ช่องว่างทางการศึกษาที่มีมากอยู่แล้วยิ่งมากขึ้นไปอีก เพราะแน่นอนว่าลูกคนมีฐานะย่อมมีอุปกรณ์และการสื่อสารที่แตกต่างกับในที่ห่างไกลอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงเด็กๆชายขอบ!!!” เข้าใจว่าผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาพิจารณาการใช้วัคซีนในเด็กของ อย.จะมีความรู้ความชำนาญด้านการแพทย์และวัคซีนที่เก่งที่สุดในประเทศแล้ว แต่ผมไม่มั่นใจว่าใครๆในอย.และผู้กำหนดนโยบายจะคำนึงถึงเรื่อง สังคม และคุณภาพการศึกษาด้วยแค่ไหนครับ

ไม่อยากให้ท่านเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแผลเป็นทางสังคมให้เด็กๆและทำให้ช่องว่างทางการศึกษาในเยาวชนไทยกว้างขึ้นกว่านี้โดยที่เยาวชนเหล่านี้จะเป็นพลเมืองทรัพยากรของชาติเราในอนาคตอันใกล้…….อยากให้คนเก่งประเทศไทย คิดแล้วทำเองได้ก่อนใครๆบ้างอย่าไปรอให้ชาติใดๆตัดสินใจก่อนเลยครับ กล้าตัดสินใจกันหน่อยครับ”

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก @Nithi Mahanonda