เมื่อวันที่ 2 ส.ค. นายเสรี สุวรรณภานนท์ สว. กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ เตรียมพิจารณาคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีมติของที่ประชุมร่วมรัฐสภา วันที่ 19 ก.ค. ห้ามเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซ้ำรอบสองนั้น ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในวันที่ 3 ส.ค. นี้ว่า ตนประเมินว่าศาลรัฐธรรมนูญน่าจะยกคำร้อง เพราะประเด็นที่ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ใช่การกระทบสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล หรือกระทบโดยตรง แต่เป็นเหตุผลทางการเมือง ขณะที่การพิจารณาวินิจฉัยของรัฐสภา เมื่อวันที่ 19 ก.ค. นั้นเป็นเอกสิทธิ์ และเป็นไปตามอำนาจอธิปไตยของฝ่ายนิติบัญญัติ ดังนั้นศาลไม่สามารถก้าวก่ายเรื่องดังกล่าวด้วย ดังนั้นตนมองว่า โดยรวมแล้วจะยกคำร้อง แต่ที่มีการวิเคราะห์ว่าจะรับไว้พิจารณานั้น อาจจะเป็นปัญหาได้ แม้จะรับแต่ไม่มีคำสั่งใด จะทำให้รัฐสภาไม่สามารถเดินหน้าเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญควรจะยกตั้งแต่แรก ซึ่งกรณีดังกล่าว ตนยืนยันว่าสิ่งที่รัฐสภาดำเนินการนั้น เป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
เมื่อถามว่า หากประเมินว่าศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง กระบวนการเลือกนายกฯต้องเกิดขึ้นวันที่ 4 ส.ค. นี้ ทาง สว. จะตัดสินใจอย่างไร นายเสรี กล่าวว่า ต้องรอฟังความชัดเจนจากพรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคก้าวไก (ก.ก.) ที่ได้หารือกันในวันที่ 2 ส.ค. นี้ ว่าจะเสนอชื่อใครต่อรัฐสภา จะเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ รวมถึงการจับมือจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งสถานการณ์การเมืองตอนนี้ ตนมองว่าเป็นช่วงฝุ่นตลบ ผันผวน และเป็นการต่อสู้กันทางการเมือง
“พรรคเพื่อไทยตอนนี้คล้ายจะหลบ แต่พรรคก้าวไกลยังเกาะ ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่กล้าตัดสินใจ จะพันกันไปมาปัญหาไม่จบ สำหรับการโหวตนั้นต้องดูตามหลักการ โดยยึดเกณฑ์ที่ สว. ไม่โหวตให้คนของพรรคก้าวไกล เพราะมีประเด็นแก้มาตรา 112 และจะแก้รัฐธรรมนูญ หมวด 1 หมวด 2 ส่วนที่นายเศรษฐา ระบุว่าสนับสนุนแก้มาตรา 112 นั้น ต้องรอฟังให้แสดงเจตนารมณ์” นายเสรี กล่าว
เมื่อถามว่า มองอย่างไรกับสูตรการเมืองที่ สส.พรรคก้าวไกล จำนวน 151 คน จะโหวตให้นายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย และถอยเป็นฝ่ายค้าน นายเสรี กล่าวว่า พรรคก้าวไกลคงไม่ทำแบบนั้น เพราะจะทำให้พรรคก้าวไกลเสียหาย เนื่องจากหากจะถอยเป็นฝ่ายค้าน ต้องแสดงจุดยืนให้ชัดตั้งแต่แรก เพราะหากโหวตให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ตั้งรัฐบาลได้ แต่ในอนาคตจะตรวจสอบฝ่ายรัฐบาลได้อย่างไร และอาจจะขัดกับวิสัยที่จะตรวจสอบในสภา
“หากพรรคก้าวไกลลงคะแนนให้ แสดงว่ายังต้องการตำแหน่งและร่วมรัฐบาลใช่หรือไม่ หากบอกว่าจะถอยเป็นฝ่ายค้านจะตอบมวลชนอย่างไร ในจุดยืนของตัวเอง ซึ่งอาจจะถูกครหาและแนวร่วมเกิดความไม่เชื่อถือได้ ดังนั้นหากพรรคก้าวไกลอยากได้มวลชน ต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจน หากจะถอยเป็นฝ่ายค้าน จะลงคะแนนให้ทำไม” นายเสรี กล่าว
นายเสรี กล่าวย้ำว่า ทางออกของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ ตนมองว่าไม่ยาก เพราะเมื่อพรรคก้าวไกล ประกาศให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลแล้ว ก็ฉีก MOU ส่วนที่ติดขัดว่ารัฐสภาไม่ให้ผ่าน ให้พรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาล ก็แยกกัน หากเกาะกันไว้ แสดงว่ายังหวังจะร่วมรัฐบาล พรรคก้าวไกล มี สส. เยอะ อาจจะได้โควตาหลายกระทรวง โดยเฉพาะกระทรวงด้านความมั่นคง
นายเสรี กล่าวถึงกรณีที่มีนักเคลื่อนไหวทางการเมืองในนาม “กลุ่มโมกหลวงริมน้ำ” แจกและติดใบปลิวที่บริวเณตลาดเสรี และสำนักงานตลาดเสรี 2 ถนนเจริญกรุง (แยกถนนตก) เมื่อช่วงเย็นวันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมาว่า ช่วงที่กลุ่มดังกล่าวทำกิจกรรมในตลาด ตนไม่ได้อยู่ในพื้นที่ และได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ที่ดูแล จึงรีบเข้าไปดู แต่ต้องใช้เวลาเดินทางกว่า 1 ชั่วโมง เมื่อไปถึง จึงไม่เจอผู้ทำกิจกรรมดังกล่าว อย่างไรก็ดี หลังจากตรวจสอบรายละเอียดแล้ว ตนจึงเข้าแจ้งความดำเนินคดี ฐานบุกรุก และกระทำผิดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี
“กลุ่มคนที่เคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นพวกที่ต่อต้าน สว. อยู่แล้ว ซึ่งการที่คนพวกนี้ทำกิจกรรมติดป้ายประกาศเต็มตลาด แจกใบปลิวโจมตี สว. นั้น ทำให้กลุ่มผู้ค้าในตลาดตกใจ” นายเสรี กล่าว.