เรียกได้ว่าทำเอาโลกออนไลน์ถึงกับดุเดือดอยู่ในขณะนี้ ภายหลังจากที่ร้านอาหารชื่อดัง ได้ออกมาแจ้งระบุว่า จดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญากับเมนูปังชา จนกลายเป็นกระแสวิจารณ์กันเป็นอย่างมาก แถมยังมีการยื่นโนติสไปถึงร้านที่ใช้คำว่า “ปังชา” อีก 2 ร้าน โดยร้านแรกเรียก 102 ล้านบาท ส่วนอีกร้านถูกเรียก 7 แสนบาท จนกลายเป็นกระแสวิจารณ์กันเป็นอย่างมาก ตามที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ส.ค. แฟนเพจเฟซบุ๊ก “หมายจับกับบรรจง” ของนายบรรจง ชีวมงคลกานต์ ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ได้ออกมาอัปเดตเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า “ผมคุยกับทีมกฎหมาย“ปังชาคาเฟ่” หลังจากที่ผมได้นำเสนอกรณีน้องนิวร้านปังชาเชียงราย โดนโนติส 102 ล้านบาท และร้าน “ทางช้างเผือก” หาดใหญ่ โดนโนติส 7 แสนบาท”

วันนี้ 30 ส.ค. 66 “คุณแก้ม” เจ้าของร้านลูกไก่ทอง-ปังชาคาเฟ่ ได้ติดต่อมาก่อน เบื้องต้นคือเธอก็ขอโทษต่อเรื่องที่เกิดขึ้น (ผมบอกให้ไปขอโทษร้านที่โดนโนติส ไม่ต้องขอโทษผม ผมไม่ใช่ผู้ได้รับผลกระทบ) และคุณแก้มบอกขอคุยสั้นๆ ก่อน น้ำเสียงแสดงความเสียใจ และยังไม่ตอบอะไรมาก เพราะตัวเธอไม่แม่นเรื่องกฎหมาย ขอปรึกษาทีมงาน และให้รอการแถลงชี้แจงอีกครั้งในเร็วๆ นี้ ต่อมา…ทีมกฎหมายของร้านคือสำนักงานทนายความแห่งหนึ่งติดต่อมาในเชิงปรึกษาถึงกระแสข่าวตอนนี้ ผมก็สอบถามหลายๆ เรื่อง เขาบอกขอให้ทางผู้บริหารร้านแถลงก่อน…
-สรุปดราม่า! ‘ปังชา’จากสงวนสิทธิ์ห้ามเลียนแบบ สู่โนติสฟ้องทะลุ102ล้าน

แต่ก็พอจะบอกข้อสงสัยบางข้อได้คร่าวๆ เบื้องต้น ดังนี้…(ขอพิมพ์แบบสรุปนะ มันยาวรายละเอียดเยอะ)
1.ตอนนี้ส่งโนติสไปหาร้านอื่นๆ กี่แห่ง?
ตอบ : 2 แห่งคือร้านที่เชียงราย กับที่หาดใหญ่ เพราะมีคนแจ้งมา อย่างที่เชียงราย มีลูกค้าเข้าใจผิดว่าเป็นสาขาของปังชาคาเฟ่ ส่วนอีกแห่งที่ 3 โทรฯ ไปหา แล้วยินดีแก้ไข จึงยังไม่ได้ส่งโนติส
2.ทำไมเรียกค่าเสียหาย 102 ล้านที่เชียงราย คิดจากอะไร?
ตอบ : คิดจากมูลค่าแบรนด์ในตลาดของ “ปังชาคาเฟ่” ที่พยายามปั้นแบรนด์ให้เป็นลักชัวรี่ และย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า คือ 28 ก.ย. 2565 โดยเจ้าของแบรนด์เป็นฝ่ายกำหนดตัวเลข ไม่ใช่สำนักงานกฎหมาย

3.ทำไมเรียกค่าเสียหาย 7 แสนจากร้านที่หาดใหญ่?
ตอบ : ร้านที่หาดใหญ่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน จึงย้อนหลังไปนิดเดียว และไม่ได้ใช้คำว่า “ปังชา” เป็นชื่อร้านโดยตรง แต่มีชื่อในเมนูขนม และมีคำที่ปรากฏในป้ายทางเข้าร้าน
4.ทำไมถึงไม่เตือนก่อน โนติสเรียกค่าเสียหายทันที?
ตอบ : เพราะปกติโนติสต้องมีสภาพบังคับ ไม่งั้นผู้ประกอบการจะไม่ปฏิบัติตาม แต่จริงๆ แล้วไม่ได้ประสงค์ถึงขั้นดำเนินคดีฟ้องร้อง เพียงต้องการให้ยุติการละเมิด ไม่งั้นคงใส่ชื่อบุคคลในหนังสือแจ้งแล้ว และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ดำเนินการฟ้องร้องใดๆ

5.ทำไมถึงคิดว่าร้านอื่นๆ ละเมิด ทั้งที่คำว่า “ปังชา” เป็นคำสามัญ ที่ใครจะใช้ก็ได้ ตามที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาบอกมา?
ตอบ : เพราะหนังสือที่ได้รับการจดแจ้งฉบับล่าสุดที่ยื่นปี 2565 ทางกรมฯ ไม่ได้ให้ทางแบรนด์สละสิทธิคำว่า “ปังชา” จึงยึดถือสิทธิตามที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาออกหนังสือให้
6.ทำไมทางกรมฯถึงยอมให้จดคำนี้ “ปังชา” ได้ ในเมื่อเป็นคำสามัญที่เขาใช้กันมานานแล้ว?
ตอบ : เคยยื่นขอครั้งแรกเมื่อปี 2561 ตอนนั้นทางกรมฯ ไม่ให้สิทธิในคำนี้ แต่ต่อมาทางร้านได้ใช้เวลาอีก 4 ปี พิสูจน์ความแพร่หลายทางธุรกิจ ว่าเป็นคำที่แพร่หลายมาจากธุรกิจของแบรนด์เรา จึงยื่นอีกในปี 2565 และล่าสุดทางกรมฯยอมให้จดทะเบียนในปี 2566

7.แล้วจะเอายังไงต่อกับร้านที่มีคำว่า “ปังชา”?
ตอบ : ขึ้นกับทางผู้บริหารร้านที่จะชี้แจงกับสาธารณะต่อไป ส่วนที่ว่าทำไมถึงคิดว่ามีสิทธิได้ยึดถือสิทธิที่ได้รับเอกสารจากทางกรมฯ ต้องถามทางกรมทรัพย์สินทางปัญญา
ฝ่ายกฎหมายมีการยกตัวอย่างชื่อแบรนด์ที่ได้ทะเบียนเครื่องหมายการค้ามา 2 ชื่อคือ “โออิชิ” และ “กระทิงแดง” ที่เป็นคำสามัญที่ได้สิทธิในเครื่องหมายการค้า
8.ได้เห็นกระแสสังคมตอนนี้แล้ว คิดอย่างไร?
ตอบ : เข้าใจอารมณ์สังคม ไม่ได้ต้องการเอาชนะ หรือโต้แย้งใดๆ และมีข้อมูลเอกสารบางส่วนในโซเชียลที่คลาดเคลื่อนไป มีการนำเอกสารจดทะเบียนของปี 61 มาวิเคราะห์ ทำให้คลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริง และยืนยันว่าไม่ได้ต้องการ “กรรโชกทรัพย์” อย่างที่โดนกล่าวหา เพียงแต่ใช้สิทธิทางกฎหมายด้วยเจตนาสุจริต เพราะอยากให้แบรนด์เติบโตในทางธุรกิจไปไกล จึงจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา

ป.ล.ผมแนะนำทิ้งท้ายสั้นๆ “ไม่มีประโยชน์ถ้าคุณชนะ บนซากปรักหักพังของธุรกิจ เพราะธุรกิจบริการอยู่ได้ด้วยการสนับสนุนจากทางสังคม” โพสต์นี้อาจะไม่ได้เป๊ะๆ ทุกคำนะครับ แต่คำตอบคือประมาณนี้ เพราะพิมพ์จากความจำในการพูดคุยทางโทรศัพท์ ไม่ได้ไปบันทึกสัมภาษณ์ต่อหน้าครับ เอาสั้นๆ เท่านี้ก่อน ที่เหลือรอให้เขาแถลงอย่างเป็นทางการในวันสองวันนี้ครับ…