นักแสดงหนุ่มสุดฮอตขวัญใจวัยรุ่น “วิน-เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร” เรียกได้ว่าเป็นอีกนักแสดงที่เติบโตในวงการบันเทิงอย่างก้าวกระโดด มาเปิดใจในรายการ WOODY FM ถึงเรื่องราวชีวิตที่เกินฝัน ยอมรับเป็นคนที่มีความคาดหวังสูง พร้อมเล่าวิธีรับมือกับเรื่องดราม่า เผยตอนนี้ยังไม่โฟกัสเรื่องแฟน

วิน เผยว่า “ผมมองว่าในทุกๆ การเปลี่ยนแปลง เราจะต้องมีสติกับมัน ในทุกช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราเสมอ ถ้าเกิดว่าอยู่ๆ ก็มีคนสนใจเรามากๆ แต่ว่าเราไม่ได้พัฒนาตัวเอง หรือไม่ได้สนใจในสิ่งที่กำลังทำอยู่ บางทีเราอาจะหลุดไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้น แต่ว่าผมรู้สึกว่าผมเป็นคนที่อยู่กับปัจจุบันมากๆ แล้วก็รู้ตัวว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ เรื่องอดีตหรืออนาคตเรากังวลครับ แต่ว่าเรารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ณ ตอนนี้ โมเมนต์นี้ เรามีแพลนในอนาคต ที่เราอยากจะไปให้ถึง แต่ว่าเราก็ไม่ได้ทิ้ง ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ วินมองว่า แพลนที่วินอยากจะไป แล้วก็เป้าหมายที่วินอยากจะทำ อยากจะไปในวงการที่ International มากขึ้น อยากจะนำวงการบันเทิงไทยไปสู่ระดับโลกให้ได้ ไปสู่ในระดับเอเชียให้มากขึ้นในหลายๆ ประเทศให้ได้ อย่างแฟนคลับต่างชาติมันประทับใจมากครับ ตั้งแต่เริ่มแรกที่เรายังไม่เคยคิดเลยว่า เราจะสามารถมีแฟนคลับต่างชาติได้ แค่ตอนแรกที่เล่นซีรีส์ก็คือ เราจะมีแฟนคลับในไทยหรือเปล่าเลย แต่ว่าพอมาถึง ณ จุดนี้ คือมันกลายเป็นอะไรที่เกินกว่านั้นมากเลย แล้วช่วงนั้นที่เราเป็นกระแสขึ้นมา ก็ได้เห็นแฟนๆ ต่างชาติผ่านโซเชียลอย่างเดียวที่เขาพิมพ์ข้อความมา จนกระทั่งหลังสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว เราสามารถบินไปต่างประเทศได้ ก็ทำให้เราได้เห็นแฟนๆ แต่ละประเทศตัวเป็นๆ ก็ประทับใจมากๆ ครับ และเห็นในความแตกต่างของแต่ละประเทศออกไป”

“วิธีรับมือดราม่า อะไรก็ตามที่มันเป็นดราม่าเกิดขึ้นมา บางเรื่องต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงบ้าง หรือว่าไม่จริงบ้าง ค่อนข้างเยอะมากเลยครับ เราแค่มีสติกับมัน แล้วก็เรียนรู้ถ้าเกิดว่ามันเป็นอะไรที่เราทำผิดพลาดไป แล้วเราสามารถแก้ไขและพัฒนามันได้ วินก็จะนำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นสิ่งที่ทำให้พัฒนาตัวเองต่อไป แต่ถ้าเรื่องไหนที่มันไม่ใช่เรื่องจริง หรือว่าเป็นเรื่องที่อาจจะบิดเบือนไปค่อนข้างเยอะ เราก็มองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป ช่วงชีวิตที่ท้าทาย ถ้าต้องเลือกช่วงหนึ่ง ผมว่าช่วงนี้แหละครับ ช่วงที่เราก้าวจากวัยเรียนมาเป็นวัยทำงานอย่างเต็มตัว ผมว่ามันเป็นอะไรที่ยากมากๆ และท้าทายมากๆ มีเรื่องราวใหม่ๆ ให้เราได้เรียนรู้ไปทุกวันจริงๆ รู้สึกว่าตั้งแต่ก้าวมาทำงาน มันทำให้เป้าหมายในชีวิตเราชัดเจนขึ้นมากๆ จากแต่ก่อน มันเป็นอะไรที่เกินฝันมากๆ ตั้งแต่วันแรกในเรื่องของวงการบันเทิง แล้วก็เรารู้สึกว่าเราแค่อยากจะทำทุกโมเมนต์ที่เราได้รับโอกาสให้มันดีที่สุด แต่พอมันเกินสิ่งที่เราคาดฝันมาแล้ว เราก็แค่ทำต่อๆ ไปให้ดีขึ้นเรื่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ ครับ ผมรู้สึกว่าการที่ทุกคนอาจจะต้องมีเรื่องผิดพลาดในสิ่งที่เราเคยทำมาในชีวิต แล้วรู้สึกว่าถ้าเกิดว่าเราเริ่มจากการที่เราเข้าใจว่าเราผิดพลาดอะไร และเรายอมรับในสิ่งที่เราผิดพลาด มันคือสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไป แต่ว่าถ้าเกิดเรายังไม่ยอมรับ และเรายังไม่เข้าใจว่าเราผิดอะไรบ้าง วินมองว่าการที่เราเดินต่อไปในอนาคตมันก็จะยากแล้ว”

วิน เล่าต่อว่า “พ่อแม่ทุกวันนี้ยังมีการให้คำแนะนำอยู่ มีการพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่อยู่ตลอด ปกติกิจวัตรประจำวันของผมก็คือถ้าเกิดมีช่วงว่างทุกอาทิตย์ จะได้เจอครอบครัวแล้วทุกคนก็จะมานั่งคุยกัน แต่ว่าพอเข้าสู่วัยทำงาน เริ่มยากแล้ว เพราะว่าบางทีเราก็ต้องบินไปบ้าง ก็พยายามหาเวลาที่จะมาอยู่กับครอบครัวคุยกันปรึกษากัน อัปเดตชีวิตกันเรื่อยๆ เขาก็จะคอยแนะนำ คอยสอนเราตลอด แฟนๆของผม ผมอยากจะขอบคุณมากๆ เลยครับ คืออยากจะขอบคุณตั้งแต่วันแรกเลย ผมรู้สึกว่ามันเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขจริงๆ คือเราเติบโตมาคนละทิศคนละทางเลย แต่ว่าวันหนึ่งเรามาเจอกัน แล้วเราก็คอยสนับสนุนกัน คอยดูแลซึ่งกันและกันมาจนถึงทุกวันนี้ ผมว่ามันเป็นอะไรที่หายากมากๆ ผมรู้สึกซาบซึ้งกับมันมากๆ กับเรื่องราวระหว่างผมกับแฟนคลับทุกคน เรื่องแฟนผมเอาจริงๆ ผมยังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น ผมคิดในมุมของตัวเองก่อนว่า ณ เวลาตอนนี้ ทำงานเยอะมากจริงๆ ครับ ในเรื่องนั้นก็คือปล่อยให้เป็นเรื่องธรรมชาติแล้วกัน ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งถ้ามันจะเกิดขึ้น หรือเราเจอคนหนึ่งที่เหมาะสมกับเราที่เหมาะสมทั้งคู่ ก็รอให้ถึงวันนั้น ณ ตอนนี้ผมยังรู้สึกว่า ผมยังมีทั้งธุรกิจ มีทั้งงานในวงการบันเทิง มีอะไรหลายอย่างที่เราต้องกังวล แล้วก็ต้องทุ่มเทกับมันมากๆ ก็เลยยังไม่ได้ไปโฟกัสเรื่องนั้น รู้สึกว่าเราอยากทำตรงนี้ให้ดีมากๆ แล้วถ้าเกิดว่ามีจังหวะที่มีตรงนั้นเข้ามาด้วย เราก็ค่อยเรียนรู้กันไป ศึกษากันไป”

“ถามว่าย้อนกลับไปก่อนเข้าวงการ ในความสัมพันธ์กับคนรักคุณเป็นคนแบบไหน อันนี้ผมว่าผมเป็นคนตามใจ ผมจะใช้ชีวิตแบบสบายๆ ชิลชิล ง่ายๆ เวลาเรามีแฟนหรือว่าอยู่กับใคร เราอยากจะให้คนๆ นั้น เป็นจุดที่สบายตัวและสบายใจมากที่สุด คือเราสามารถแชร์พูดคุยทุกเรื่องที่เราคิด หรือว่าเราอยากทำอะไรก็ทำได้ที่ไม่ผิด แต่ถ้าคบๆ ไป คือถ้าเกิดว่าคิดคนละทาง ต้องดูว่าเหตุผลที่เขาคิดทางนั้นคืออะไร แล้วเหตุผลที่เราคิดทางนี้คืออะไร แล้วเราเอามาแชร์กันว่า เหตุผลของใครฟังแล้วดูขึ้นมากกว่า หรือดูสมเหตุสมผลมากกว่าในทิศทางของแต่ละคน แล้วมาดูกันว่าจะออกเป็นรูปแบบไหนได้บ้าง ผมเป็นคนง้อคนครับ (หัวเราะ) คือผมเป็นคนที่ทำอะไรมีเหตุผล เวลาที่เราง้อ ก็จะมีเหตุผลว่าทำไมเราถึงเป็นอย่างนั้น หรือว่าผิดพลาดอะไร ถ้าเราผิดพลาดอะไรก็ยอมรับในสิ่งที่ผิดพลาด แต่ถ้าเกิดว่ามีเหตุผลในสิ่งที่เราตัดสินใจทำไป เราก็เอาเหตุผลนั้นไปพูดคุยให้เขาเข้าใจ ว่าทำไมมันถึงต้องเป็นแบบนี้”

“แก๊งเพื่อนในวงการคือถ้าเกิดว่าเป็นแก๊งที่อยู่ด้วยกันประจำ น่าจะแก๊ง F4 ครับ คือด้วยก่อนหน้านี้เราไปทัวร์เอเชียมาด้วยกัน แล้วก็มีโอกาสได้ไปต่างประเทศหลายๆ ประเทศด้วยกันทั้ง 4 คน ความสนิทมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ และมีไลน์กลุ่มด้วยชื่อว่า F4 (หัวเราะ) คือเป็นไลน์กลุ่มที่ไม่ค่อยอยากให้คนรู้ เพราะกลัวคนจะหมั่นไส้ ความท้าทายหลังเปลี่ยนจากงาน Boy Love คือผมมองว่าในอาชีพของนักแสดง จริงๆ คือมันไม่จำเป็นจะต้องยึดติดกับสิ่งที่เราเคยเล่นมา หรือว่างานที่เราทำมาผลงานเดียว เราสามารถทำอะไรได้หลากหลาย เล่นคั่นกูมาก็ไม่ได้แปลว่าผมจะเป็นไทน์ตลอดไป มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามงานที่เราได้รับ รู้สึกว่าเราก็แค่ทำงานทุกงานที่เข้ามาที่เราเลือกที่จะทำแล้วให้ดีที่สุด ให้เป็นตัวละครนั้นได้มากที่สุด ใส่ใจกับงานนั้นให้มากที่สุด ผมเป็นคนที่มีความคาดหวังสูงตั้งแต่เด็กเลยครับ คือเป็นคนที่ต้องคิดว่าจะได้อันนี้ให้ได้ แต่ว่าพอถึงเวลาจริงๆ แล้ว เราเต็มที่กับมันมากๆ แล้ว แต่สุดท้ายมันไม่ได้ มันก็จะมีความเสียใจบ้าง ตอนนี้ผมโตขึ้นครับ ตอนนี้ก็คือเรารู้สึกว่ายอมรับในสิ่งที่ผิดหวังได้มากขึ้น ในสิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่เราหวังได้มากขึ้น”