หากจะเอ่ยถึงพระเอกตลอดกาลที่อยู่ในใจแฟนภาพยนตร์ไทยมาอย่างช้านาน เชื่อว่าหลายคนคงจะมีชื่อของอดีตพระเอกดังแห่งยุคที่ชื่อ มิตร ชัยบัญชา รวมอยู่ในนั้นแน่นอน เพราะในยุคๆ หนึ่ง เขาถือได้ว่าเป็นพระเอกผู้ทรงอิทธิพลของยุค เป็นไอดอลสุดเท่และมากความสามารถที่มีแต่ความซื่อสัตย์และจริงใจกับผู้ชมเสมอ และแทบจะไม่มีใครในยุคนั้นเลย ที่ไม่เคยได้ยินชื่อเขา เพราะด้วยผลงานการแสดงมากมาย และอุปนิสัยใจคอที่เพื่อนร่วมวงการรวมถึงสื่อมวลชนพูดถึงเขา ต้องบอกเลยว่าเขาคือพระเอกที่โด่งดังและแสนดีคนหนึ่งเลยทีเดียว

ถึงแม้เวลาจะผ่านล่วงเลยไปถึง 53 ปีแล้วจนถึงปัจจุบัน แต่ชื่อของพระเอกหนังไทยคนดังอย่าง มิตร ชัยบัญชา กลับไม่ได้เลือนหายไปตามกาลเวลา แต่ยังคงเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของหนังไทย ที่คนรุ่นก่อนยังคงจดจำไม่ลืมเลือน ขณะเดียวกันคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย ที่สนใจเกี่ยวกับหนังไทย ก็พยายามค้นหาข้อมูลและเรื่องราวของพระเอกคนนี้ว่าทำไมถึงมีอิทธิพลและยังคงเป็นที่รักของแฟนๆ ได้นานจนถึงทุกวันนี้

“เดลินิวส์ออนไลน์” จะพาทุกคนย้อนไปทำความรู้จักพระเอกดังผู้อยู่ในหัวใจแฟนๆ หนังไทยคนนี้กัน

มิตร ชัยบัญชา เกิดวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2477 มีชื่อจริงว่า พันจ่าอากาศโท พิเชษฐ์ ชัยบัญชา (นามสกุลเดิมพุ่มเหม) เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงปลาย พ.ศ. 2499 เป็นพระเอกภาพยนตร์ไทยในช่วง พ.ศ. 2500-2513 ซึ่งเป็นยุคเฟื่องฟูของภาพยนตร์ 16 มม. มีผลงานนับได้ขณะนั้น 266 เรื่อง จากทั้งสิ้น 300 กว่าเรื่องที่นำแสดง

โดยผลงานเรื่องแรกของมิตรคือเรื่อง “ชาติเสือ” บทประพันธ์ของ เศก ดุสิต ซึ่งในเรื่องนี้มิตรได้ประกบกับนางเอกที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นถึง 6 คน ได้แก่ เรวดี ศิริวิไล, นัยนา ถนอมทรัพย์, ประภาศรี สาธรกิจ และ น้ำเงิน บุญหนัก ซึ่งภาพยนตร์ทำรายได้กว่าแปดแสนบาท ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมากของสมัยนั้น ทำให้ชื่อของ มิตร ชัยบัญชา เป็นที่รู้จักของประชาชนมากขึ้น จากนั้นมิตรโด่งดังเป็นอย่างมากจากบท โรม ฤทธิไกร หรือ อินทรีแดง ในภาพยนตร์เรื่อง “จ้าวนักเลง” ซึ่งเป็นบทที่ มิตร ชัยบัญชา ต้องการแสดงเป็นอย่างมากหลังจากได้อ่านหนังสือ จนทีมผู้สร้าง ชาติเสือ ตัดสินใจไปพบ เศก ดุสิต พร้อม มิตร ชัยบัญชา เพื่อขอซื้อเรื่องมาทำเป็นภาพยนตร์ เศก ดุสิต พูดต่อ มิตร ชัยบัญชา ว่า “…คุณคืออินทรีแดงของผม…” ซึ่งภาพยนตร์ทำรายได้มากและมีภาพยนตร์ภาคต่อหลายเรื่อง ต่อมามีภาพยนตร์สร้างชื่อเสียงให้มิตรอีกหลายเรื่อง เช่น “เหนือมนุษย์”, “แสงสูรย์”, “ค่าน้ำนม”, “ทับสมิงคลา” เป็นต้น

มิตร ชัยบัญชา มีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ จากบทบาทการแสดงที่ประชาชนชื่นชอบและจากวินัยที่ดีในการทำงาน รวมถึงนิสัย และอัธยาศัยต่อเพื่อนร่วมงาน มิตรเป็นพระเอกดาวรุ่งที่โด่งดังอยู่ เมื่อแสดงภาพยนตร์คู่กับ เพชรา เชาวราษฎร์ นางเอกใหม่เรื่อง “บันทึกรักของพิมพ์ฉวี” เป็นเรื่องแรกเมื่อ พ.ศ. 2504 ภาพยนตร์ออกฉาย พ.ศ. 2505 จากนั้นมิตรเริ่มก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งพระเอกอันดับ 1 ของประเทศ ที่เป็นที่รักของประชาชน ต่อมาตั้งแต่ พ.ศ. 2506 ได้แสดงภาพยนตร์คู่กับเพชรามากขึ้น และเป็นที่ชื่นชอบของประชาชน ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 จึงเป็นคู่ขวัญได้แสดงภาพยนตร์คู่กันมากที่สุดตลอดมา รับบทคู่รักในภาพยนตร์ ประมาณ 200 เรื่อง จนแฟนภาพยนตร์เรียกว่า มิตร-เพชรา (แฟนหนังบางส่วนเข้าใจผิดว่ามิตร นามสกุล เพชรา) มีแฟนภาพยนตร์จำนวนมากที่ชื่นชอบในตัวมิตร ถึงขนาดว่าถ้าไม่มีชื่อมิตรแสดงก็เดินทางกลับ ไม่ดูหนัง ทั้งที่เดินทางมาไกลแค่ไหนก็ตาม จากนั้นในปี พ.ศ. 2506 ภาพยนตร์เรื่อง “ใจเพชร” ทำรายได้สูงสุดและมีภาพยนตร์ที่ทำรายได้เกินล้านอีกหลายเรื่อง โดยเมื่อ พ.ศ. 2508 มิตรได้รับพระราชทานรางวัล “โล่เกียรตินิยม” นักแสดงนำชายที่ทำรายได้สูงสุด จากภาพยนตร์เรื่อง “เงิน เงิน เงิน” ซึ่งทำรายได้เป็นประวัติการณ์ ต่อมา พ.ศ. 2509 ภาพยนตร์เรื่อง “เพชรตัดเพชร” ทำรายได้ทำลายสถิติ เงิน เงิน เงิน ได้ 3 ล้านบาทในเวลา 1 เดือน และรับพระราชทาน รางวัลดาราทอง จากคุณสมบัติหลัก 4 ประการ คือ ศรัทธา หน้าที่ ไมตรี และน้ำใจ ซึ่งแสดงถึงคุณภาพของผู้รับรางวัล

ต่อมาในปี พ.ศ. 2513 ภาพยนตร์เรื่อง “มนต์รักลูกทุ่ง” เป็นภาพยนตร์เพลงลูกทุ่งของมิตรและเพชรา ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำรายได้มากกว่า 6 ล้านบาท และยืนโรงได้นานกว่า 6 เดือนในกรุงเทพฯ ทำรายได้ทั่วประเทศ กว่า 13 ล้านบาท ซึ่งยิ่งทำให้เวลานั้นไม่มีพระเอกคนไหนจะฮอตและเป็นที่นิยมได้มากเท่ากับ มิตร ชัยบัญชา อีกแล้ว

แต่แล้วหัวใจของแฟนๆ หนังไทยที่รักมิตร รวมถึงเพื่อนพ้องในวงการก็ต้องตกใจและช็อกสุดขีด เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2513 มิตร ชัยบัญชา ได้เสียชีวิตลงขณะถ่ายทำฉากโหนบันไดเชือกเฮลิคอปเตอร์ จากภาพยนตร์เรื่อง “อินทรีทอง” ท่ามกลางความอาลัยของมหาชน ที่ต่างพากันเสียดาย เสียใจที่พระเอกคนดังต้องจากแฟนหนังของเขาไปตลอดกาล ทั้งนี้ จากผลการชันสูตรศพยืนยันว่าเขาเสียชีวิตทันทีเพราะร่างกายแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี เชือกบาดข้อมือเป็นแผลลึก 2 ซม. ยาว 8 ซม. กระดูกขากรรไกรข้างขวาหัก กระดูกโหนกแก้มซ้ายขวาหัก มีเลือดออกทางหูขวา กระดูกซี่โครงขวาหัก 5 ซี่ กระดูกโคนขาขวาหัก กระดูกต้นคอหัก โดยเสียชีวิตเมื่อเวลาประมาณ 16.13 น. ต่อมาในวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2513 หนังสือพิมพ์ไทยทุกฉบับ พาดหัวข้อข่าวการตายของเขา ซึ่งกระจายข่าวไปถึงญี่ปุ่น ฮ่องกง และไต้หวัน อีกด้วย

โดยศพของ มิตร ชัยบัญชา ตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดแคนางเลิ้ง มีประชาชนหลั่งไหลเข้าไปร่วมงาน แต่ประชาชนบางส่วนยังไม่เชื่อว่ามิตรได้เสียชีวิตแล้ว ต่างภาวนาว่าไม่ใช่เรื่องจริง ทำให้ทางวัดไม่มีทางเลือกที่จะทำให้ความเชื่อของพวกเขาไม่เป็นความจริง จึงยกร่างไร้วิญญาณของเขา ให้ได้เห็นกับตาทางหน้าต่างเพื่อให้ทุกคนเห็น ซึ่งก็สร้างความโศกเศร้าให้กับแฟนหนังอย่างมากมาย และนับเป็นความสูญเสียของวงการภาพยนตร์ไทยอย่างหาอะไรมาแทนไม่ได้เลย เพราะ มิตร ชัยบัญชา ถือเป็นเสมือนโลโก้ของภาพยนตร์ไทยอย่างแท้จริง

ขณะเดียวกัน หลังจาก มิตร ชัยบัญชา เสียชีวิตลง ก็ได้มีการพระราชทานเพลิงศพ ย้ายจากวัดแคนางเลิ้งไปวัดเทพศิรินทร์ เนื่องจากมีประชาชนไปร่วมส่งมิตรจำนวนมากถึงสามแสนคน จนทำให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กล่าวว่า “นี่เป็นงานศพของสามัญชนที่มีผู้ไปร่วมงานมากที่สุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว”

แม้วันนี้ “มิตร ชัยบัญชา” จะเหลือเพียงชื่อในหัวใจแฟนๆ ภาพยนตร์ไทยเท่านั้น แต่สิ่งที่หลายคนไม่มีวันลืมเลย คือผลงานและ “ความสุข” ที่ครั้งหนึ่งพระเอกคนดังเคยมอบไว้ให้กับแฟนๆ ของเขา และต่อให้เวลาจะผ่านไปอีก 10 หรือ 20 ปี ตราบใดที่ภาพยนตร์ไทยยังคงอยู่และมีคนสืบทอดศิลปะแขนงนี้อยู่ เมื่อนั้นชื่อของ “มิตร ชัยบัญชา” ก็จะยังคงอยู่และเป็นอมตะตลอดไป

ขอขอบคุณภาพประกอบจากเฟซบุ๊ก หอภาพยนตร์ และ วิกิพีเดีย