เมื่อวันที่ 17 ต.ค. โลกออนไลน์ได้แห่ชื่นชมสาวไทยใจแกร่ง 2 คน ที่ขับรถเข้าไปช่วยแรงงานไทยอิสราเอล ท่ามกลางสถานการณ์การสู้รบระหว่างกลุ่มฮามาสและอิสราเอล อย่างไม่กลัวอันตราย โดยหญิงไทยใจแกร่งทั้ง 2 คือ คุณแจ๋ม และคุณน้อง ซึ่งคุณน้องเป็นคนขับรถ ขณะที่คุณแจ๋ม คอยบันทึกภาพขณะที่ทั้งคู่เสี่ยงตาย ฝ่าแนวทหารเข้าไปยังแคมป์คนงาน เพื่อช่วยคนไทยไปส่งยังสถานทูต เพื่อให้การช่วยเหลือ    

โดยพบว่ามีแรงงานไทยบางคนบาดเจ็บโดนยิง และได้มีการส่งตัวไปสถานทูตเพื่อทำพาสปอร์ต เตรียมตัวเดินทางกลับไทย และทั้งคู่สามารถช่วยคนไทยได้ถึง 32 คน

ขณะนี้คุณแจ๋มเดินทางกลับถึงประเทศไทยแล้ว ซึ่งระหว่างที่เดินทางมาถึง คุณแจ๋มก็ยังคงช่วยโทรฯ ประสานช่วยเหลือแรงงานไทย ซึ่งติดอยู่ในหลุมหลบภัย และยังคงพยายามให้ความช่วยเหลือแรงงานไทยแม้แต่ในตอนนี้ ขณะที่ล่าสุดวันนี้ ทางเจ้าของเพจติ๊กต็อก daphan383 ได้โพสต์ข้อความแจ้งข่าวว่า นางฟ้าพี่แจ๋มถึงไทยแล้ว

ล่าสุด “คุณแจ๋ม” หรือนางวิภาวดี วรรณณชัย อายุ 40 ปี ชาวหนองบัวลำภู หญิงไทยหัวใจแกร่ง ผู้ช่วยเหลือคนไทยที่ประสบภัยจากเหตุรุนแรง เปิดใจกับ “สื่อมวลชน” ขณะเดินทางถึงไทยที่ท่าอากาศยานนานาชาติขอนแก่น ว่า แต่งงานกับสามีชาวอิสราเอล ซึ่งมีอาชีพเป็นทนายความและเปิดสำนักงานทนายความ เพื่อรับปรึกษาและว่าความในอิสราเอล รวมถึงรับเรื่องร้องเรียนจากแรงงานไทยในอิสราเอลมากว่า 15 ปีแล้ว มีบุตรด้วยกัน 3 คน แต่ปัจจุบันได้เลิกกับสามีแล้ว และในช่วงเกิดเหตุรุนแรงได้ไปอยู่กับ “พี่น้อง” คนไทยอีกคน ที่ร่วมกันตระเวนช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอล

ในช่วงเกิดเหตุรุนแรงที่กลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอลนั้น มีแรงงานไทยที่เคยติดต่อกับสำนักงานทนายความโทรศัพท์มาหา แชตข้อความมาขอความช่วยเหลือ จึงจับมือคุยกับ “พี่น้อง” ว่าเกิดมาชาติเดียว ตายครั้งเดียว เราจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยคนไทย จากนั้นก็พากันขับรถออกไปพบกับแรงงานที่ขอความช่วยเหลือมา แรงงานบางคน แคมป์ที่พักถูกเผาทำลายไม่เหลือเอกสารสำคัญติดตัว

เมื่อเกิดเหตุรุนแรง ได้รับบาดเจ็บ ต้องการกลับบ้าน ก็ต้องดำเนินการจัดการติดต่อกับทุกฝ่าย เพื่อให้คนไทยได้กลับบ้าน โดยเฉพาะ “โอโน่” กับ “ชาตรี” แรงงานไทยที่ถูกยิง ไม่มีเอกสารติดตัว แต่ลงทะเบียนเดินทางกลับประเทศไทย ในขณะเดียวกัน ก็มีแรงงานไทยที่ทราบเรื่อง ก็เดินทางมาหาที่สนามบิน จึงได้ติดต่อกับทุกฝ่ายจนทุกคนได้พาสปอร์ตขาว จากนั้นก็เดินทางกลับมาที่ประเทศไทยได้พร้อมกันทุกคน

คุณแจ๋ม กล่าวอีกว่า การช่วยเหลือแรงงานไทยที่ร้องขอความช่วยเหลือมานั้น ไม่ง่ายเลย เพราะอันตรายทุกจุด บางจุดทหารก็ไม่ให้เข้า แต่จำเป็นต้องเข้าไปเพื่อช่วยเหลือคนไทยออกมา ทหารก็เข้าใจและรักษาความปลอดภัยให้ จนช่วยเหลือแรงงานไทยได้ ทุกครั้งที่เดินทางเข้าไปช่วยเหลือแรงงานไทยนั้น ไม่มีเครื่องรางของขลังหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ มีเพียงบอกกล่าวพระเจ้าให้เปิดทาง คุ้มครองให้ทุกอย่างที่ตั้งใจทำ ราบรื่นและปลอดภัย

“ขอให้คนไทยที่ทำงานในอิสราเอล มีสติ และมีความปลอดภัย เชื่อฟังเจ้าหน้าที่ อย่าออกนอกพื้นที่ เพราะหากเกิดเหตุร้าย ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้ ยอมรับว่า ทุกคนลำบาก แต่ถ้ามีสติ ตั้งใจ ทุกอย่างก็จะผ่านไปได้ ส่วนสถานการณ์ในอิสราเอลนั้น ทุกวันนี้ ยังไม่มีความคลี่คลายลงเลย ขอให้ทุกคนระวัง รักษาตัวเองให้ดี และดีใจกับคนไทยที่ปลอดภัยและได้กลับบ้าน เสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตทุกรายด้วย”

คณแจ๋ม กล่าวอีกว่า กลับมาที่บ้านในครั้งนี้ เพราะมารดาเสียชีวิตเมื่อวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา จึงมาเคารพศพแม่และร่วมพิธีฌาปนกิจศพคุณแม่ และจะอยู่ที่บ้านจนถึงเดือนธันวาคม 2566 จึงจะเดินทางกลับประเทศอิสราเอล แต่ในช่วงที่กลับมาที่บ้าน แรงงานไทย และคนไทยที่อิสราเอล ยังคงติดต่อสื่อสารกันได้ตามปกติ และในพื้นที่ก็ยังมีพี่น้อง ยังคอยให้ความช่วยเหลือคนไทยอยู่

ขอบคุณข้อมูลจากเพจ โหนกระแส