ตามกำหนดการเดิมงาน “เวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ” ( WORLD EXPO 2020 DUBAI)  มีกำหนดจัดงานในปีที่แล้ว แต่ด้วยพิษของโควิด-19 ที่ได้ระบาดไปทั่วโลก ส่งผลให้ “สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์” ประเทศเจ้าภาพในการจัดงาน ได้หารือกับประเทศที่เข้าร่วม

จนได้ทางออกเลื่อนมาจัดงานในปีนี้แทนระหว่างระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 64 ถึง วันที่ 31 มี.ค. 65 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

โดยงาน“เวิลด์ เอ็กซ์โป” ถือเป็นงานแสดงนิทรรศการระดับโลกที่ยิ่งใหญ่ 1 ใน 3 ของโลก  จัดขึ้นทุก 5 ปี  ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การระหว่างประเทศว่าด้วยงานมหกรรมโลก (Bureau of International Expositions หรือ BIE) และจะสลับหมุนเวียนประเทศเจ้าภาพ โดยดำเนินการจัดมาต่อเนื่องมากว่า 158 ปี และประเทศไทยได้เข้าร่วมจัดงาน มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 4

สำหรับงานใน“เวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ  ครั้งนี้ประเทศไทยได้ตอบรับเข้าร่วมงานตั้งแต่เดือน เม.ย 60 และเริ่มดำเนินการพัฒนา “อาคารประเทศไทย” หรือ “ไทย พาวิลเลียน” ตั้งแต่ ธ.ค.61 และได้เปิดตัวอาคารประเทศไทย ในเดือน ม.ค.62 จากนั้นได้ทำพีธีเปิดการก่อสร้างอาคารประเทศไทยในเดือน เม.ย.62

 จนถึงปัจจุบันเหลือเวลาอีกประมาณ 11 วัน งานก็จะได้ฤกษ์เริ่มแล้ว ไทยพร้อมแค่ไหนกับงานยิ่งใหญ่ ระดับโลกนี้?

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า กระทรวงดีอีเอส โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นตัวแทน ในการดำเนินงาน พาประเทศไทยเข้าร่วมงาน เวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ภายใต้แนวคิดหลัก “เชื่อมความคิด สร้างอนาคต : CONNECTING MINDS, CREATING THE FUTURE” หรือการสะท้อนให้เห็นถึงการขับเคลื่อน ให้เกิดความก้าวหน้า ด้วยการเชื่อมโยงผู้คน องค์กร และประเทศต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน แบ่งปันความรู้และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และนวัตกรรม และกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือในการสร้างสรรค์ค์อนาคตอย่างยั่งยืน

“กระทรวงดีอีเอสได้ดำเนินการมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 60 ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาเนื้อหานิทรรศการ ตลอดจนสร้างสรรค์กิจกรรมในหลานรูปแบบ ที่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาจัดแสดงตลอด 6 เดือน ณ อาคารแสดงประเทศไทย ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่โซน Mobility บนพื้นที่ 3,606 ตรม. หรือ 2.25 ไร่  ซึ่งถือเป็นพื้นที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยเข้าร่วมในงานเวิลด์เอ็กซ์โป นำเสนอพัฒนาการของประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการต่อยอดให้เห็นภาพเมืองไทยในยุคดิจิทัล และศักยภาพของประเทศไทยในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลของภูมิภาค ซึ่งในงานครั้งนี้มีสมาชิก เข้าร่วมงานทั้งหมด 192 ประเทศ”

น.ส.อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดีอีเอส  กล่าวว่า อาคารแสดงประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “การขับเคลื่อนสู่อนาคต” (Mobility for the Future) นำเสนอ เรื่องราวผ่านนิทรรศการทั้ง 4 ห้อง ได้แก่ ห้องที่ 1: Thai Mobility จัดแสดงเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์จำลองและราชรถจำลอง ให้ความรู้เกี่ยวกับการเดินทางของคนไทยในอดีต ห้องที่ 2: Mobility of Life นำเสนอภาพยนตร์แอนิเมชัน สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรือง ของประเทศไทย จากอดีตถึงปัจจุบัน

ห้องที่ 3: Mobility of the Future นำเสนอภาพยนตร์แอนิเมชัน 360 องศา เพื่อแสดงภาพในอนาคตของ ประเทศไทยที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีดิจิทัลในภูมิภาค และ ห้องที่ 4: Heart of Mobility นำเสนอภาพยนตร์สั้น บอกเล่าเรื่องราวเสน่ห์ของประเทศไทยในหลากหลายมิติ ที่สร้างความประทับใจให้ชาวต่างชาติเดินทางมาเยี่ยมเยือน ทำธุรกิจ หรือใช้ชีวิตในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีส่วนของร้านอาหารไทยให้ผู้เข้าชมงานได้ลิ้มรสความอร่อยของอาหารไทยแท้และร้านขายของที่ระลึกที่คัดสรรสินค้าดีมีคุณภาพด้วย

“ด้วยความท้าทายที่งานต้องเลื่อน  1 ปี ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทั้งค่าประกันภัย ค่ารักษาความปลอดภัย ฯลฯ จึงต้องมีการวางแผนปรับกระบวนการทำงานใหม่ เนื่องจากงบประมาณภาครัฐต้องถูกนำไปใช้ แก้ปัญหาโควิดก่อน ทำให้ไม่ได้จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม  ต้องบริหารจัดการและมีแผนรองรับภายใต้งบประมาณเท่าเดิม ตอนนี้อาคารประเทศไทยมีความพร้อมแล้ว จะทดลองระบบในช่วงปลายเดือนก.ย.นี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่บุคลากรจากไทย รวมถึง น้องๆทีมไทยแลนด์ พาวิลเลียน แอมบาสเดอร์ จำนวน 25 คนที่ต้องปฎิบัติหน้าที่ประจำอาคารประเทศไทย ก็ได้รับการฉีดวัคซีนเรียบร้อย  พน้อมเปิดต้อนรับผู้เข้าชมงานอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ต.ค. 64นี้”

ด้าน นายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวว่า ทางประเทศเจ้าภาพคาดว่า จะมีคนเยี่ยมชมงานครั้งนี้ 15  ล้านคน  แต่ด้วยสเกลพื้นที่การจัดงานที่ใหญ่อาจจะมีการเยี่ยมชมงาน  2  ครั้งต่อคน หรือประมาณ 25 ล้านการเยี่ยมชม ซึ่งในส่วนของดีป้าคาดว่าจะมีผู้เข้าเยี่ยมชม ไทย พาวิลเลี่ยนไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน จำนวน 10 ล้านการเยี่ยมชม ตลอด 6 เดือน และจะกลายมาเป็นนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวไทยไม่น้อยกว่า 3 แสนคน โดยเฉพาะหลังโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยว่า 3,000 ล้านบาท นอกจากนี้ คาดว่าจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยที่มีการนำสินค้าและบริการไปแสดงได้เจรจาธุรกิจกับต่างชาติ  สามารถสร้างมูลค่า ทางธุรกิจได้อีกไม่น้อยกว่า 500  ล้านบาทด้วย

ทั้งหมดเป็นคำยืนยันไทยพร้อมแล้วกับการแสดงศักยภาพของประเทศในงาน“เวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ”แม้ว่างบประมาณเดิมที่ได้รับจากรัฐบาลจะบายปลาย !! เพราะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาอุปกรณ์จนต้องขอระดมทุนเพิ่มจากเอกชนก็ตาม!!

        จิราวัฒน์ จารุพันธ์