สำหรับคดีมหากาพย์ “น้องชมพู่” เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ที่หายปริศนาไปจากบ้านอย่างปริศนา ในพื้นที่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เปิดเผยเมื่อเช้าวันที่ 11 พ.ค.63 ซึ่งครอบครัวและชาวบ้านช่วยกันระดมออกค้นหา กระทั่งช่วงเย็นวันที่ 14 พ.ค. พบศพน้องชมพู่นอนเสียชีวิตบนภูเหล็กไฟ เขตอุทยานแห่งชาติภูผายล ห่างจากบ้านน้องชมพู่ราว 2 กม. ในสภาพเปลือยกาย พบร่องรอยหนามเกี่ยวตามแขนและขา บริเวณที่เกิดเหตุพบกางเกงผู้เสียชีวิต ถูกถอดไว้ข้างก้อนหิน และรองเท้าหล่นอยู่ระหว่างทางเดิน

ด่วน! ศาลเลื่อนอ่านคดี ‘ลุงพล-ป้าแต๋น’ ฆ่าน้องชมพู่เป็นปลายเดือน ธ.ค.

เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่า น้องชมพู่อาจถูกล่อลวงออกมาจากบ้าน ซึ่งเป็นไปได้ว่าหากเป็นเหตุฆาตกรรม ผู้ก่อเหตุต้องมีความชำนาญ และอาจรู้จักคนในครอบครัวนี้ แต่เชื่อว่าเด็กไม่ได้พลัดหลงป่า หรือเข้าไปในป่าเพียงคนเดียว น่ามีคนนำพาตัวไปที่จุดเกิดเหตุ เนื่องจากสภาพพื้นที่ต้องปีนเขา ซึ่งวัยของเด็กไม่น่าทำได้ตามลำพัง ทางตำรวจ สภ.กกตูม จึงเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอผู้ต้องสงสัยคนใกล้ชิดของน้องชมพู่ ทั้งพ่อ-แม่-พี่สาวน้องชมพู่-ลุงพล-ป๋าแต๋นและอื่น 7 คน ไปตรวจสอบ อย่างไรก็ตามมีพยาน อ้างว่าเห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อสีส้มแขนยาว มีหมวกสีดำเหมือนคนตัดอ้อย อุ้มน้องชมพู่ไป

เดลินิวส์ออนไลน์ จึงพามาย้อนดูไทม์ไลน์ คดีนี้กัน โดยเริ่มเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2563 น้องชมพู่ อายุ 3 ปี ด้หายตัวไปจากบริเวณหน้าบ้านของ น.ส.จุไรภรณ์ สุขพันธุ์ หรือ น้าต่าย เป็นบ้านที่ติดกับบ้านของน้องชมพู่ ซึ่งครอบครัวและชาวบ้านระดมการค้นหา

กระทั่งช่วงเย็นวันที่ 14 พ.ค. 63 พบศพน้องชมพู่ นอนเสียชีวิตบนภูเหล็กไฟ เขตอุทยานแห่งชาติภูผายล ห่างจากบ้านน้องชมพู่ประมาณ 2 กม. ในสภาพเปลือยกาย พบร่องรอยหนามเกี่ยวตามแขนและขา บริเวณที่เกิดเหตุพบกางเกงน้องชมพู่ถูกถอดไว้ข้างก้อนหิน และรองเท้าหล่นอยู่ระหว่างทางเดิน โดยตำรวจเชื่อว่าเด็กหญิงผู้เสียชีวิตไม่ได้พลัดหลงป่าหรือเข้าไปในป่าเพียงคนเดียว มั่นใจว่ามีคนนำพาตัวไปที่จุดเกิดเหตุ

วันที่ 19 พ.ค.2563 แผนกนิติเวช รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ยืนยันผลชันสูตร ไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายและการล่วงละเมิดทางเพศ ระบุ “ไม่ปรากฏสาเหตุการตาย แต่พบบาดแผลตามร่างกายและอวัยวะเพศ” ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเกิดจากทำร้ายร่างกาย ล่วงละเมิด หรือสาเหตุใดแน่ชัด เวลาการเสียชีวิตนั้นแพทย์ผู้ชันสูตรและผู้เชี่ยวชาญยืนยันได้ว่าน้องชมพู่เสียชีวิต อยู่ในห้วงเวลาระหว่าง วันที่ 12 พ.ค. 2563 เวลาประมาณ 14.30 น. ถึงวันที่ 13 พ.ค. 2563 เวลาประมาณ 14.30 น.

วันที่ 20 พ.ค.2563 ครอบครัวฌาปนกิจศพน้องชมพู่ ที่ป่าช้าบ้านกกกอก โดยเผาแบบเชิงตะกอนแบบโบราณ ขณะที่ตำรวจตัดผู้ต้องสงสัยออก ทั้งชายเร่ร่อน ชายที่มีภาวะทางจิตคนในหมู่บ้านที่เคยมีประวัติคดีทางเพศ

วันที่ 2 ต.ค.2563 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ในขณะนั้น ได้แถลงสรุปผลว่า น้องชมพู่ ไม่สามารถเดินขึ้นไปบริเวณจุดพบศพได้ด้วยตนเอง แต่มีคนร้ายพาไปด้วยเหตุผล 8 ประการคือ
1.เส้นทางที่ยากลำบากเกินความสามารถ โดยข้อเท็จจริงตัวน้องชมพู่ อายุ 3 ปี 2 เดือน สูง 55 ซม. น้ำหนัก 11 กิโลกรัม ไม่กล้าขึ้นบันไดบ้านซึ่งมีความชัน 45 องศา เตียงกับแคร่หน้าบ้าน ก็ไม่สามารถปีนขึ้นได้
2.พลังงานไม่เพียงพอ เนื่องจากอาหารที่น้องชมพู่รับประทานเป็นมื้อสุดท้ายไม่สามารถให้พลังงานเพียงพอให้เดินไปถึงจุดพบศพได้
3.ประสบการณ์ชาวบ้าน ได้ยืนยันว่าหากเด็กหลงทางจะสามารถไปถึงได้เพียงชั้นที่ 2 ของภูเหล็กไฟเท่านั้น
4.กรณีศึกษา จากการหายตัวไปของชาวบ้านกกตูมซึ่งระยะทางไกลกว่าน้องชมพู่ ยังสามารถหาพบภายใน 1 คืน
5.ผู้ชำนาญการยืนยัน แพทย์นิติเวชผู้ทำการผ่าชันสูตรซึ่งเดินจำลองเส้นทางแล้วยืนยันว่า ไม่น่าจะสามารถไปถึงจุดพบศพได้และกุมารแพทย์ยืนยันว่า พัฒนาการของน้องชมพู่ไม่สามารถเดินไปถึงจุดพบศพเองได้
6.สภาพศพ ตอนที่พบศพน้องชมพู่ สภาพเปลือยกาย ซึ่งน้องชมพู่ยังสวมและถอดเสื้อด้วยตนเองไม่ได้
7.พยานหลักฐาน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานพบเส้นผมของน้องชมพู่ถูกตัดด้วยของมีคมด้านเดียว น่าเชื่อว่าเป็นการกระทำของบุคคลอื่น
8.นิสัยส่วนตัว น้องชมพู่กลัวป่าที่ทึบ ไม่กล้าเข้าในสวนยางพารา เคยเล่นแถวไร่มันสำปะหลังเท่านั้น

ขณะที่การรวบรวมพยานหลักฐานได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ซึ่งสรุปได้ว่า
1.การกระทำของคนร้ายในคดีนี้ มีการพาเหยื่อไปทิ้งที่ไกลๆ เพื่อเป็นการอำพรางคดี ซึ่งเป็นแผนประทุษกรรมของคนร้ายที่เป็นคนใกล้ชิดกับเหยื่อ หากปล่อยให้เหยื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็สามารถชี้ยืนยันตัวเองว่าเป็นผู้กระทำผิดดังกล่าวได้ จึงจำเป็นต้องมีการอำพรางคดีเพื่อให้ความผิดพ้นตัว
2.จากช่วงเวลาที่น้องชมพู่หายตัวไปจากบริเวณจุดเกิดเหตุ พี่สาวของน้องชมพู่ก็อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 10 เมตร แต่กลับไม่ได้ยินเสียงร้องของน้องชมพู่เลย ทั้งที่อุปนิสัยของน้องชมพู่จะเป็นคนหวงตัว หากไม่ใช่บุคคลใกล้ชิดจะร้องเสียงดังทันที
3.อีกทั้งบริเวณจุดพบศพ บนภูเหล็กไฟ ยังพบ รองเท้า รถแมคโค ของเล่น ตกอยู่ จึงยืนยันได้ว่าน้องชมพู่เต็มใจเดินไปกับคนร้าย มิฉะนั้นแล้ว ของเล่นหรือรองเท้าจะไม่ติดตัวน้องชมพู่ไปถึงจุดพบศพอย่างแน่นอน

จากทั้ง 3 ประเด็นนี้ยืนยันได้ว่า คนร้ายต้องเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดน้องชมพู่และเป็นคนที่น้องไว้ใจ ทั้งนี้ ทางตำรวจได้มีการสอบสวนปากคำ พยานบุคคล และพยานผู้เกี่ยวข้อง โดยได้มีการสัมภาษณ์บุคคล จำนวน 384 ปาก และได้สอบปากคำเข้าสำนวนการสอบสวน จำนวน 120 ปาก รวมถึงได้สอบปากคำพยานผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ และพยานผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ไว้แล้วจำนวน 31 ปาก

วันที่ 7-8 ม.ค.2564 เจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีน้องชมพู่ เชิญคนสนิทเด็กหญิง อย่าง พ่อแม่ พี่สาว น้าๆ รวมทั้งลุงพลและป้าแต๋น เข้าเครื่องจับเท็จ

วันที่ 29 พ.ค.2564 ตำรวจ พบเส้นผม 3 เส้น เป็นหลักฐานและเตรียมขอหมายจับ

วันที่ 1 มิ.ย.2564 ศาลจังหวัดมุกดาหารออกหมายจับ ลุงพล ในข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร, ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกิน 9 ปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย, และกระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ คดีนี้ลุงพล ประกันตัวออกมา

วันที่ 27 ก.ค.2566 ฝ่ายโจทก์ และฝ่ายจำเลย ในคดีน้องชมพู่ได้เดินทางมาที่ศาลจังหวัดมุกดาหารเพื่อนัดสืบพยานวันสุดท้าย หลังจากเริ่มสืบพยานมาตั้งแต่ 30 มิ.ย.2565 จนถึง 27 ก.ค.66 ซึ่งการสืบพยานในวันที่ 27 ต.ค.นี้เป็นพยานฝ่ายจำเลยโดยถือว่าเป็นวันสุดท้าย ซึ่งศาลจังหวัดมุกดาหารนัดฟังคำพิพากษา ในวันที่ 31 ต.ค.2566 เวลา 10.00 น.

ตามที่ศาลจังหวัดมุกดาหาร กำหนดนัดอ่านคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1013/2564 ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดมุกดาหาร โจทก์ นายไชย์พลหรือพล วิภา จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ในวันที่ 31 ต.ค.2566 นี้

ล่าสุดวันที่ 30 ต.ค. ศาลจังหวัดมุกดาหารได้แจ้งเลื่อนการอ่านคำพิพากษา เนื่องจากขณะนี้กระบวนการตรวจร่างคำพิพากษาของสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 ยังไม่แล้วเสร็จ จึงขอให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษา ไปปลายเดือน ธ.ค.2566 ตามวันว่างของคู่ความ ทั้งนี้ยังไม่มีกำหนดวันที่ชัดเจน