เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม กล่าวภายหลังเข้าชมงานนิทรรศการอุปกรณ์ป้องกันประเทศ “difense  & Security 2023” ถึงความคืบหน้าการเจรจากับตัวแทน บริษัท CSOC รับต่อเรือดำน้ำให้กองทัพไทยหลังขอเปลี่ยนเป็นเรือฟริเกต ว่า การเจรจากับตัวแทนบริษัทจีนวันนี้เป็นการพูดคุยกับคณะของกองทัพเรือ นำโดยพล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วย ผบ.ทร.ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ซึ่งเป็นการพูดคุยระดับวงเล็ก และได้รับรายงานมาว่า บริษัทไม่มีอำนาจตัดสินใจ ต้องเป็นหน่วยงานระดับรัฐ เพราะเขาอยู่ภายใต้รัฐบาลจีน ต้องรอการตัดสินใจของรัฐบาลจีนเท่านั้น

นายสุทิน กล่าวต่อว่า  ตนยังเชื่อว่าการเจรจาเพื่อขอเปลี่ยนเรือดำน้ำเป็นเรือฟริเกต มีความเป็นไปได้ เพียงแต่ต้องพูดคุยกันอีกสักระยะ มีหลายอย่างที่ต้องปรับจูน ตกลงกันให้ได้ ส่วนข้อติดขัดนั้น ทางบริษัทจีนก็ยังไม่ได้บอกรายละเอียดแต่น่าจะเป็นนโยบายของบริษัทจีนเอง เพราะเขาได้ผลิตและลงทุนแล้ว เราไม่ซื้อเขาจะมีปัญหา เรื่องขาดทุนเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องหาทางดูแลชดเชย ซึ่งต้องจบกันที่ระดับนโยบาย คงไม่จบที่ระดับปฏิบัติ

เมื่อถามว่ามีทางออกที่ 3 หรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า คงมี แต่ทางกองทัพเรือ เสนอมาเพียง 2 ข้อก่อน ก็คือไม่เรือฟริเกตก็เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง  หรือเรือ OPV แต่อาจจะมองเป็นทางออกที่ 3 ก็ได้ เขาบอกว่าของเก่าหากได้ก็เอา  แต่ยืนยันว่ายังเป็นแนวทางเดิมคือเรือฟริเกต ขอเดินไปในแนวทางนั้นก่อน เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากเจรจาไปแล้วจะลงตัวอย่างไร และต้องเป็นมติของ ครม.ไม่ใช่สุทินคนเดียว เพราะเป็นการแก้ไขทีโออาร์ การแก้ไขเงื่อนไขข้อตกลง หากต้องกลับมาแนวทางนี้ก็ต้องเป็นการตัดสินใจของ ครม.  อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีอยากให้จบโดยให้เป็นไปตามข้อตกลง หรือใกล้เคียงข้อตกลงมากที่สุดและกฎหมายทำได้ รวมถึงกองทัพได้ประโยชน์ ประเทศไม่เสียประโยชน์ นายกฯ ยึดหลักนี้อยู่ 

เมื่อถามว่าทาง ทร.ได้รายงานมาอย่างไรบ้างจากการที่ได้พูดคุยกับตัวแทนบริษัทจีน นายสุทิน กล่าวว่า ยังไม่ได้รายงาน เพราะยังคุยไม่จบและกำลังพูดคุยกันอยู่.