พระเมธีวัชรบัณฑิต (หรรษา ธมฺมหาโส) เจ้าอาวาสวัดใหม่ (ยายแป้น) ผอ.วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ (IBSC) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า ในโอกาส 120 ปี ชาตกาล สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ อยากฝากพรรคเพื่อไทยแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 29 หลังจากเห็นข่าวนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เตือนว่าขออย่าแชร์ภาพพระ AI เที่ยวคาราโอเกะ ก็อนุโมทนาสาธุที่รัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย รวมถึงทีมงานที่ปรึกษาได้พากันเอาใจใส่และเป็นธุระในการทำหน้าที่ปกป้อง และคุ้มครองพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ดี สิ่งที่อยากจะฝากท่านรัฐมนตรี และทีมงาน ที่สังกัดพรรคเพื่อไทยในฐานะที่เป็นรัฐบาล ก็คือ อยากให้หันมาสนใจทำงานในเชิงโครงสร้าง จะเป็นการเข้ามาช่วยรักษาพระศาสนาในระยะยาว และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

นโยบายแห่งรัฐของรัฐบาลได้กล่าวถึงกฏหมายรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 67 โดยได้ย้ำเตือนว่ารัฐจะเข้าไปสร้างระบบและกลไกส่งเสริมคุณธรรม รวมถึงการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา และการมีมาตรการและกลไกในการป้องกันด้วย จากมาตรานี้ จึงเห็นสมควรให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 29 ที่ระบุว่า พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา ถ้าพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยตัวชั่วคราว และเจ้าอาวาสวัดที่พระภิกษุรูปนั้น สังกัดไม่รับมอบตัวไว้ควบคุม หรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม หรือพระภิกษุรูปนั้นมิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่ง พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้ ซึ่งมาตรานี้ถูกตราขึ้นในยุคจอมพลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี 2505 ซึ่งเป็นปีที่ “หลวงพ่ออาจ” ถูกกล่าวหาว่า เป็นคอมมิวนิสต์ และเป็นเหตุแห่งการจับกุม คุมขัง และเป็นเหตุแห่งการบังคับให้หลวงพ่อลาสิกขา และจำพรรษาอยู่ในสันติปาลาราม จนในที่สุดศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องในปี 2509 โดยในคำพิพากษาตอนท้าย ศาลยังได้ย้ำกับหลวงพ่อว่า ให้นับว่าเป็นกรรมของท่านเอง

กรรมที่หลวงพ่อได้รับในวันนั้น นับเป็นทั้งอดีตกรรม และปัจจุบันกรรมที่ท่านต้องกลายเป็นนักโทษถูกคุมขังระหว่างปี 2505-2509 ยังไม่รวมถึงข้อหาอื่นตั้งแต่ปี 2503 จนกาลผ่านมา 120 ปีแห่งชาตกาลของหลวงพ่อ ประวัติศาสตร์ดังกล่าวก็ตามมาหลอกหลอนพระเถระผู้ใหญ่หลายท่านดังที่เกิดขึ้นในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ประเด็นคือ พรรคเพื่อไทยในขณะที่เป็นฝ่ายค้านก็เคยออกมาอภิปรายประเด็นนี้อยู่หลายรอบ ถึงประเด็นความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับสิ่งที่พระผู้ใหญ่ต้องมาเผชิญกับชะตากรรมดังที่ปรากฏ แต่ถึงวันนี้ ยังไม่ได้ยินว่า พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และทีมที่ปรึกษาจะมีแนวทางต่อประเด็นนี้อย่างไร

ในส่วนของหลักสูตรสันติศึกษา มจร ได้กระตุ้นให้นิสิตท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้อำนวยการในกระทรวงยุติธรรมที่มีฐานะเทียบเท่าอธิบดี ได้ทำดุษฎีนิพนธ์เกี่ยวกับประเด็นนี้ในหัวข้อว่า บทบัญญัติและกฎหมายเกี่ยวกับสถานที่พักสงฆ์สำหรับพระภิกษุที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญาที่เอื้อต่อวิถีพระธรรมวินัย คำตอบที่ได้คือ การจะแก้ประเด็นนี้ในระยะยาวได้ จะต้องแก้ไขมาตรา 29 ดังที่ได้กล่าวไว้ เพื่อเปิดทางให้กระทรวงยุติธรรม อาจจะโดยกรมราชทัณฑ์ เสนอให้มีการออกกฏกระทรวงให้สามารถกำหนดสถานที่ควบคุมพระสงฆ์เพิ่มเติม ซึ่งมิใช่ทัณฑสถาน อันจะทำให้ท่านสามารถประกอบศาสนกิจได้ จนกว่าคดีจะถึงที่สุด โดยไม่ต้องบังคับให้สละสมณเพศ หรือลาสิกขา ดังที่ปรากฏในมาตรา 29

โอกาส 120 ปี ชาตกาลของ “หลวงพ่ออาจ อาสภมหาเถระ” จึงอยากจะฝากประเด็นนี้ ไปถึงพรรคเพื่อไทย ที่กำกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้หันมาพิจารณา และยกระดับสู่การแสวงหาแนวทางในการพูดคุย ปรึกษาหารือระหว่างกระทรวงยุติธรรม มหาเถรสมาคม และภาคประชาสังคม รวมถึงคณะนิติศาสตร์ มจร เพื่อจะได้กำหนดแนวทางร่วมกัน มิให้ประวัติศาสตร์หวนกลับมาหลอกหลอนพระผู้ใหญ่ หรือพระสงฆ์ในสังคมไทย และประวัติศาสตร์จักได้จารึกไว้ให้โลกได้จดจำว่ารัฐบาลเพือไทย รวมถึงนักการเมืองที่เป็นชาวพุทธ ได้ตระหนักรู้ในประเด็นนี้ จึงได้ช่วยกันคุ้มครอง และออกแบบกลไกที่เหมาะสมต่อการรักษาพระศาสนาให้รุ่งเรืองต่อไป