ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานเงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมา แตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือน ที่ 35.38 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนจะพลิกอ่อนค่าตลอดช่วงที่เหลือของสัปดาห์

เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงแรก สอดคล้องกับสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ หลังจากที่ตลาดทยอยปรับลดโอกาสของการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ของเฟดในระยะข้างหน้าลงมา อย่างไรก็ดี เงินบาทเริ่มพลิกกลับมาอ่อนค่าลงในระหว่างสัปดาห์ตามทิศทางเงินหยวน ซึ่งมีปัจจัยลบจากตัวเลขการส่งออกของจีนเดือน ต.ค. ที่ยังคงหดตัวต่อเนื่อง และตอกย้ำสถานะที่เปราะบางของเศรษฐกิจจีน

นอกจากนี้เงินดอลลาร์ และบอนด์ยีลด์สหรัฐ สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ หลังถ้อยแถลงของประธานเฟดสะท้อนว่า เฟดยังคงไม่ปิดโอกาสของการขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อควบคุมให้เงินเฟ้อสหรัฐ กลับไประดับเป้าหมายที่ 2% เงินบาทยังอ่อนค่าลงเพิ่มเติมตามจังหวะขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยในช่วงท้ายสัปดาห์ของนักลงทุนต่างชาติ หลังทางการมีการเปิดเผยรายละเอียดของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

ในวันศุกร์ที่ 10 พ.ย. 2566 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.90 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับ 35.71 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (3 พ.ย.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 6-10 พ.ย. 2566 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 9,343 ล้านบาท แต่มีสถานะเป็น Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทย 10,679 ล้านบาท (ซื้อสุทธิพันธบัตร 13,467 ล้านบาท หักตราสารหนี้หมดอายุ 2,789 ล้านบาท)

สัปดาห์ถัดไป (13-17 พ.ย.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 35.40-36.20 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ในอิสราเอล และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อจากมุมมองของผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านเดือน ต.ค. ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์ก และผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย เดือน พ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ต.ค. ของอังกฤษและยูโรโซน และข้อมูลเศรษฐกิจเดือน ต.ค. ของจีน อาทิ การผลิตภาคอุตสาหกรรม และยอดค้าปลีก