ซึ่งข้อความดังกล่าวถอดรหัสได้ว่า ที่ผ่านมาถึงแม้มวลมนุษยชาติต่างตระหนักในเรื่องวิกฤติของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องนี้ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับพบว่า “เราล้มเหลวในการแก้ปัญหา” เพราะปัญหาต่าง ๆ ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยอัตราเร่งสู่หายนะโดยที่เราไม่รู้ตัว ประหนึ่งเรากำลังเป็นเสมือนกับกบที่ถูกต้มอยู่ในนํ้าอุ่น ๆ ที่กำลังร้อนขึ้นอย่างช้า ๆ จนวันหนึ่งเมื่อถึงจุดเดือด กบก็จะสุกพร้อมรอยยิ้ม โดยไม่กระโดดหนีไปไหน แต่ถ้าเราโยนกบตัวใหม่เข้าไปในหม้อเดียวกัน มันก็จะโดดหนีออกจากหม้อนั้น เพราะว่าร้อนมาก และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เราไม่มีเวลาเหลือแล้ว

ต่อมาในเดือนกันยายนปีเดียวกัน เลขาธิการ UN ก็ได้กล่าวยํ้าในที่ประชุมนานาชาติอีกครั้งว่า “Humanity has opened the gates of Hell” หรือ มวลมนุษยชาติได้แง้มประตูสู่ขุมนรกอเวจีแล้ว ที่ถอดรหัสได้ว่านรกมีจริง และกำลังเข้ามาในชีวิตประจำวันของมวลมนุษยชาติแล้ว ดูได้จากเรื่องของภัยพิบัติจากวิกฤติโลกร้อนทั่วโลกซึ่งเกิดขึ้น ที่ไม่เพียงเป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจ แต่ยังเผาไหม้ลุกลามไปก่อปัญหาให้กับสังคม และสร้างหายนะให้กับเศรษฐกิจทั่วโลกลุกเป็นดั่งไฟในอเวจี ดังนั้นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ จึงสำคัญมาก ๆ ว่าอนาคตของลูกหลานของเรานั้นต่อไปนี้ จะเป็นนรกหรือสวรรค์ ซึ่งทั้งหมดนั้นก็จะขึ้นกับสิ่งที่เราทุกคนกำลังทำในวันนี้ และที่ท่านเลขาธิการ UN พูดบ่อยมาก ๆ จนผู้นำประเทศต่าง ๆ ต้องนำไปขยายต่อคือ “Decade of Action” หรือ ทศวรรษแห่งการลงมือทำ ซึ่งถอดรหัสได้ว่า ที่ผ่านมา เราพูดกันเยอะแล้ว ซึ่งก็ดีระดับหนึ่ง เพราะดีกว่าการที่ไม่สนใจหรือไม่พูดถึงเลย แต่เรายังลงมือทำไม่มากพอ และเราก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ ซึ่งถอดรหัสต่อได้ว่า ยังมีบางคนที่ยังไม่ได้พูดเรื่องนี้เลย ดังนั้นคงต้องเริ่มพูดเรื่องนี้ หรือบางคนที่พูดแล้ว แต่พบว่ายังไม่ได้ลงมือทำ ฉะนั้นก็ถึงเวลาหันมาทำให้มือเปื้อนฝุ่นกันบ้าง ส่วนคนที่พูดแล้วทำแล้ว แต่ยังไม่ได้ผลดีนัก ก็ต้องรีบปรับปรุงพัฒนา หรือหานวัตกรรมใหม่ ๆ มาช่วย และที่สำคัญ การลงมือทำนั้นจะต้องมีความร่วมมือในหลากหลายมิติของ SDG 17 ข้อ รวมถึงจะต้องเป็นความร่วมมือเพื่อบรรลุเป้าหมาย ซึ่งองค์กรใหญ่ ๆ ที่เป็นผู้นำ ก็จะต้องมาช่วยเป็นพี่เลี้ยง หรือชวนพันธมิตรตลอดห่วงโซ่ธุรกิจให้เข้ามาทำเรื่องนี้ด้วยกัน จากต้นนํ้าถึงปลายนํ้า รวมถึงชวนผู้มีส่วนได้เสียต่าง ๆ ตั้งแต่คู่ค้า ลูกค้า ชุมชนรอบข้าง หน่วยงานราชการ ผู้ลงทุน แม้แต่คู่แข่งให้เข้ามาร่วมมือกันด้วย

นอกจากนี้ ผมยังถอดรหัสได้อีกว่า สิ่งที่เลขาธิการ UN อยากเห็น คือ ความรู้สึกถึงความสำคัญเร่งด่วนแบบไม่มีข้ออ้าง และไม่มีความคิดว่าจะเป็นไปไม่ได้ รวมถึงต้องการเห็นว่าทุกคนช่วยกัน ร่วมมือกัน ซึ่งผู้คนที่ฟังท่านเลขาธิการ UN พูดเช่นนี้ ต่างก็อยากเห็นว่าองค์การสหประชาชาติสามารถแสดงบทบาทของผู้นำ ด้วยการลงมือทำเป็นตัวอย่างมากขึ้น รวมถึงอยากเห็น UN เป็นเจ้าภาพ เพื่อเชื่อมโยงผู้มีส่วนได้เสียต่าง ๆ ตลอดจนอยากเห็นเวทีแห่งการร่วมมือกันที่นำไปสู่การปฏิบัติมากขึ้น นอกเหนือจากการขึ้นเวทีพูดสุนทรพจน์ที่เป็นวาทกรรมอันสวยหรู ที่นอกจากจะถอดรหัสแล้ว ควรมาช่วยกันถอดชนวนระเบิดเวลาของหายนะด้วย เพื่อจะช่วย UN ปิดประตูสู่ห้วงอเวจี ที่พวกเราได้เผลอแง้มเอาไว้.
