กรณีเจ้าหน้าที่การเงินของวัดแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุพรรณบุรี ว่าวันที่ 12 พ.ย. 66 ที่ผ่านมา มีวัดแห่งหนึ่งได้มีการทอดกฐินสามัคคี ได้ยอดเงินจำนวน 717,186.75 บาท ต่อมาเจ้าอาวาสและยังเป็นเจ้าคณะตำบล ได้นำเงินไปฝากธนาคารแห่งหนึ่ง สาขาสุพรรณบุรี โดยปกติต้องต้องนำเงินดังกล่าวเข้าบัญชีของวัด ต่อมาในช่วงเย็นวันที่ 17 พ.ย. ได้ตรวจสอบยอดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารแห่งหนึ่งของวัด โดยนำสมุดไปปรับดูยอดเงิน ปรากฏว่าไม่มีเงินกฐินเข้าบัญชีวัดแต่อย่างใด หลังจากนั้นไม่สามารถติดต่อเจ้าอาวาสดังกล่าวได้ จึงเชื่อว่าเงินกฐินของวัดอยู่ที่เจ้าอาวาส จึงได้แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินการตามกฎหมาย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 21 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจิตรติ รามเนตร รักษาราชการแทนนายอำเภอเมืองสุพรรณบุรี พร้อมด้วยนางสาวพัสวี บุญสิทธิ์ ปลัดอำเภอ ร่วมประชุมตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีติดตามเงินทำบุญทอดกฐินสามัคคีของวัดดังกล่าว โดยมีเจ้าคณะอำเภอเมืองสุพรรณบุรี เป็นประธานประชุมตรวจสอบ พร้อมด้วยคณะสงฆ์ของวัดที่เกิดเหตุ และนายทนงศักดิ์ นิลวัฒน์ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสุพรรณบุรี พ.ต.ท.บุญนำ โสมอินทร์ สว.สส.สภ.เมืองสุพรรณบุรี นางสาวฉวีวรรณ ศรีสมพันธุ์ ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ มีจำนวนผู้เข้าประชุม รวมประมาณ 50 คน

โดยสรุปสาระสำคัญได้ว่า ประเด็นแรก ในส่วนของคณะสงฆ์ จะดำเนินการในเรื่องการแต่งตั้งเจ้าอาวาส และหรือผู้รักษาการ รวมถึงเจ้าคณะตำบล พร้อมกำหนดมาตรการในการดูแลรักษาเงินบริจาคของวัด ตามระเบียบปฏิบัติต่อไป ในส่วนของเงินที่ได้รับความเสียหาย มีผู้ถูกกล่าวหารายเดียว คือ เจ้าอาวาสวัดดังกล่าว แยกเป็นสองส่วน คือเงินทำบุญทอดกฐิน (เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 66) 717,186.75 บาท ได้แจ้งความดำเนินคดีข้อหายักยอก ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุพรรณบุรี พร้อมอายัดบัญชีเบื้องต้นแล้ว โดยจากการตรวจสอบบัญชีของวัด ซึ่งเป็นบัญชี รวม 2 บัญชี ได้แก่ธนาคาร สาขาถนนพระพันวษา และสาขาโรบินสัน เงินทั้งหมดได้ถูกถอนจากบัญชี และไม่มียอดเงินคงเหลือแต่อย่างใด พนักงานสอบสวนจะดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป 

ในส่วนที่มีการกล่าวอ้างโดยประชาชน กว่า 30 ราย ว่าได้ให้กู้ยืมเงินสำหรับการทำนุบำรุงรักษาวัด รวมจำนวนประมาณ 4,000,000 บาท แก่เจ้าอาวาสนั้น สรุปได้ ดังนี้ 1.ให้เป็นสิทธิของแต่ละบุคคลในการพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายหรือไม่ อย่างไร 2. มอบหมายให้ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมกับพระเลขาฯ ดำเนินการรับแจ้งรวบรวมข้อมูลความเสียหาย โดยทำบัญชีระบุรายชื่อ ที่อยู่ และจำนวนเงินที่ได้ให้กู้ยืม พร้อมพยานหลักฐานการกู้ยืม (ถ้ามี) จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาด้วยมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยความเห็นชอบร่วมกัน โดยได้กำหนดให้นัดหมายประชุมติดตามกันอีกครั้ง ในวันที่ 30 พ.ย. 66 เวลา 13.30 น. ที่วัดดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังเกิดเหตุชาวบ้านยังลังเลว่าจะแจ้งความหรือไม่ จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายวัน และตรวจสอบเงินในบัญชีวัดไม่มีแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าเจ้าอาวาสดังกล่าวหนีแน่ จึงแจ้งความดังกล่าว เข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติมิชอบมีโทษหนัก เพราะเป็นทั้งเจ้าอาวาสและเจ้าคณะตำบล.