ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และเร็ว ๆ นี้ก็จะมี กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ที่จะนำมาใช้เพื่อหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ โดยสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท และการลงทุนนี้ต้องเป็นการลงทุนระยะยาวมากถึง 8 ปี

แล้วแนวคิดกองทุน ESG นี้ดีหรือไม่? ต้องยอมรับว่าช่วงนี้เป็นยุคทองของ ESG อะไร ๆ ก็ต้องยั่งยืน ดังนั้นกองทุนเพื่อสนับสนุนเรื่อง ESG รูปแบบนี้ จึงถือว่าดีมาก ๆ ที่จะมีเงินไหลเข้ามาสู่ธุรกิจที่ดี ธุรกิจที่มีประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งอันที่จริงแล้วกองทุนความยั่งยืนนี้ มีแนวความคิดมาตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2550 ที่เป็นยุคบุกเบิกของ CSR แต่ตอนนั้นมาตรฐานบริษัทที่ดีมีความรับผิดชอบต่อสังคมยังไม่ชัดเจน และบริษัทที่มีมาตรฐานในระดับโลกก็ยังมีเป็นจำนวนแค่หลักสิบเท่านั้น แต่ในตอนนี้ ตลาดมีมาตรฐาน ESG 100 และมีการจัดเกรด ESG ที่ชัดเจน รวมถึงมีจำนวนบริษัทที่ทำ ESG มากขึ้น จึงนับเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะมีกองทุนรูปแบบนี้

แล้วกองทุน ESG จะชุบชีวิตดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้หรือไม่? อันนี้เหล่ากูรูทางการเงินและการลงทุน ต่างคิดคล้ายกันว่าไม่น่าจะมีผลนัก เพราะตลาดยังเป็นขาลง อีกทั้งวิกฤติเศรษฐกิจโลกก็ยังคงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง อีกทั้งความคลุมเครือไม่แน่นอนของนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล รวมไปถึงการขาดความเชื่อมั่นในระบบซื้อขายมาตรฐาน กับธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ และหน่วยงานกำกับดูแล ที่มีข่าวอยู่เนือง ๆ ก็ส่งผลทำให้เป็นปัจจัยที่มีผลต่อเรื่องนี้ และที่สำคัญการที่ต้องลงทุนกันยาวถึง 8 ปี นี่ทำให้นักลงทุนจึงมักจะให้ความสำคัญกับการสนับสนุนบริษัทที่มี ESG ผ่านหุ้นกู้ระยะสั้น ที่มี rating ที่ดีมากกว่า โดยเฉพาะในกลุ่มคนชราที่ไม่มีรายได้ประจำสำหรับนำไปหักภาษี และคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจ SDG

อย่างไรก็ตามแนวความคิดเริ่มต้นของกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนนี้ ในระยะยาวแล้วถือเป็นสิ่งที่ดี ยิ่งถ้าได้มีการลองศึกษากลุ่มเป้าหมายและค้นหาแรงจูงใจดูอีกสักหน่อยก็น่าจะดี เพราะการแก้ไขเรื่องดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ตกลงมาเรื่อย ๆ นั้น น่าจะต้องใช้เครื่องมืออื่น ๆ อีกหลายตัว มากกว่าจะหวังใช้กองทุนแบบนี้ เช่น การเร่งปรับปรุงระบบซื้อขายให้เป็นธรรม การเร่งดูแลมาตรฐานธรรมาภิบาลทั้งระบบ รวมถึงขยายกลุ่มนักลงทุนให้กว้างขึ้นด้วยแรงจูงใจใหม่ ๆ ก็น่าจะเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุน กับช่วยให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฟื้นตัวดีขึ้น โดยหวังว่าปลายปีนี้จะได้เห็น 1,700 จุด เหมือนก่อนช่วงเลือกตั้งนะครับ.