จากกรณี พ่อของสาวนักศึกษาที่กำลังศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยชื่อดัง ตกตึกชั้น 6 เสียชีวิต ที่แมนชั่นแห่งหนึ่ง ย่านลาดพร้าววังหิน กรุงเทพฯ เข้าร้องขอความช่วยเหลือจาก นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย และในฐานะผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เพื่อขอความเป็นธรรม โดยต้นเหตุมาจาก หนุ่มที่พักอาศัยในแมนชั่นเดียวกัน เข้าใจผิดคิดว่าฝ่าย นศ.ป.เอก มาจอด จยย. ในที่ของตัวเอง จากการที่ไปสอบถามแม่บ้าน ทั้งที่ จยย. ดังกล่าวไม่ใช่ของ นศ.ป.เอก แต่อย่างใด ซึ่งฝ่ายชายได้ขึ้นไปยังชั้น 6 ก่อนเคาะประตูห้องพักพร้อมกับโวยวายไม่พอใจ จุดสุดท้าย นศ.ป.เอก เกิดความหวาดกลัว ติดต่อให้เพื่อนช่วยเหลือ แต่ยังไม่ทันเรียกตำรวจมา ฝ่าย นศ.ป.เอก ได้พยายามปีนตึกด้านหลังหลบหนี จนพลาดเสียหลักตกลงมาจากชั้น 6 ร่างกระแทกหลังคากระเบื้องทะลุลงมาเสียชีวิต เบื้องต้น ตำรวจ สน.โชคชัย แจ้งข้อหา ข่มขู่ให้ตกใจกลัว สร้างความเดือดร้อนรำคาญ และบุกรุกเคหสถาน ตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับแง่มุมของกฎหมายในคดีนี้ว่า การที่มีชายหนุ่มมาเคาะห้องในเวลาตี 3-4 จนทำให้ผู้หญิงในห้องเกิดความตกใจหวาดกลัว คิดว่าอีกฝ่ายประสงค์ร้าย เข้ามาข่มขืน ฆ่า หรือชิงเอาทรัพย์สิน มีอาวุธหรือไม่ก็ไม่รู้ จนกระทั่งปีนตึกหนีแล้วพลาดตกลงมาเสียชีวิตนั้น จะมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาหรือไม่

ตนได้ไปอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4563/2543 ตอนนั้นศาลฎีกาตัดสินว่า จำเลยจะเข้าไปข่มขืนผู้ตาย ซึ่งยืนพิงระเบียงอยู่ จำเลยย่อมเล็งเห็นว่า หากผู้ตายขัดขืนอาจพลัดตกจากระเบียงอาคารสูงได้ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ คดีนั้น ผู้ตายกลัวโดนข่มขืน จึงหลบหนีแล้วพลัดตกจากระเบียงและถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาตัดสินว่า เป็นการฆ่าคนตายโดยเจตนา เล็งเห็นผล คดีนี้ฝากพนักงานสอบสวนดูแลญาติคนตายด้วย.

ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเฟซบุ๊ก ทนายคลายทุกข์