สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ว่า ไออีเอ รายงานว่า ประเทศต่าง ๆ เผาถ่านหินมากกว่าในปี 2565 ซึ่งเป็นสถิติเดิมสำหรับการบริโภคทรัพยากรที่ทำให้โลกร้อน

นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากกล่าวว่า โลกจำเป็นต้องลดก๊าซเรือนกระจกครึ่งหนึ่ง ในทศวรรษนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการจำกัดความร้อนทั่วโลก และหลีกเลี่ยงผลกระทบร้ายแรงต่อสภาพอากาศของโลก ขณะที่ “โคเปอร์นิคัส ไคลเมต เชนจ์ เซอร์วิส” (ซี 3 เอส) ซึ่งเป็นสำนักงานบริการเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของสหภาพยุโรป (อียู) ระบุเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่า ปี 2566 จะมีอากาศร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์

ไออีเอ ระบุว่า การบริโภคถ่านหิน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สกปรกที่สุด สูงขึ้น 1.4% ในปี 2566 เป็น 8,500 ล้านตัน โดยจีน, อินเดีย และอินโดนีเซีย เป็นประเทศที่ใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้นอย่างมาก สวนทางกับความต้องการในยุโรป กับสหรัฐ ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ไออีเอ คาดการณ์ว่า หลังจากผ่านพ้นจุดสูงสุดของการใช้ถ่านหินในปีนี้ การบริโภคถ่านหินทั่วโลกจะเริ่มลดลง ในปี 2567 เนื่องจากการผลิตพลังงานหมุนเวียนจากแสงอาทิตย์และลม ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

แม้ไออีเอ ระบุเพิ่มเติมว่า การบริโภคถ่านหินในโรงไฟฟ้าคาดว่าจะลดลง แต่หน่วยงานเชื่อว่า การใช้ถ่านหินในอุตสาหกรรมหนัก เช่น การผลิตปูนซีเมนต์ จะดำเนินต่อไปในระดับสูง

ทั้งนี้ จีนยังคงเป็นผู้ใช้ถ่านหินรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 54% ของการเผาถ่านหินทั่วโลก ซึ่งถ่านหินที่ถูกเผาในจีน มากกว่า 60% ถูกนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้า อีกทั้งประเทศยังดำเนินการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินอีกหลายแห่งด้วย

กระนั้น ไออีเอ คาดการณ์ว่า การบริโภคถ่านหินในจีน จะเริ่มลดลงเช่นกัน เว้นแต่คลื่นความร้อน และช่วงที่มีอากาศหนาวจัด จะทำให้ประเทศมีความต้องการโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น.

เครดิตภาพ : AFP