นับเป็นอีกหนึ่งคดีดังที่เรียกได้ว่าเป็นมหากาพย์ ตามสืบสวนยาวนานกว่า 3 ปี 8 เดือน ของปริศนาการหายตัวไปของ “น้องชมพู่” เด็กสาววัย 3 ขวบ ก่อนจะถูกพบเป็นศพบนภูเหล็กไฟ จังหวัดมุกดาหาร อีกทั้งมีสภาพเปลือยกายและมีร่องรอยหนามเกี่ยวตามร่างกาย ทำให้คดีนี้เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้นทั้งในประเทศไทย รวมถึงมีสื่อจากต่างประเทศแห่มาปักหลักช่วยกันไขคดีนี้ จนข่าวน้องชมพู่แพร่หลายออกไป พร้อมกับตั้งคำถามว่า ใครฆ่าน้องชมพู่และจุดประสงค์ของการฆ่าคืออะไรกันแน่?

จุดเริ่มต้นของคดี
เมื่อเช้าวันที่ 11 พ.ค. 63 มีข่าวรายงานว่ามีเด็กวัย 3 ขวบ หายตัวไปจากบ้านในพื้นที่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ซึ่งขณะนั้นก็มีทั้งเจ้าหน้าที่และครอบครัว รวมถึงชาวบ้านละแวกนั้น ช่วยกันระดมออกค้นหา

จนกระทั่งช่วงเย็นวันที่ 14 พ.ค. 63 พบศพน้องชมพู่นอนเสียชีวิตบนภูเหล็กไฟ เขตอุทยานแห่งชาติภูผายล ห่างจากบ้านน้องชมพู่ราว 2 กม. นอกจากนี้บริเวณที่เกิดเหตุพบกางเกงผู้เสียชีวิต ถูกถอดไว้ข้างก้อนหิน พร้อมด้วยมีรองเท้าหล่นอยู่ระหว่างทางเดิน

ขณะนั้นทางตำรวจสันนิษฐานว่า น้องชมพู่อาจถูกล่อลวงออกมาจากบ้าน ซึ่งเป็นไปได้ว่าหากเป็นเหตุฆาตกรรม ผู้ก่อเหตุต้องมีความชำนาญ และอาจรู้จักคนในครอบครัวนี้ แต่เชื่อว่าเด็กไม่ได้พลัดหลงป่า หรือเข้าไปในป่าเพียงคนเดียว น่ามีคนนำพาตัวไปที่จุดเกิดเหตุ เนื่องจากสภาพพื้นที่ต้องปีนเขา ซึ่งวัยของเด็กไม่น่าทำได้ตามลำพัง ทางตำรวจ สภ.กกตูม จึงเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอผู้ต้องสงสัยคนใกล้ชิดของน้องชมพู่ ทั้งพ่อ-แม่-พี่สาวน้องชมพู่-ลุงพล-ป๋าแต๋นและอื่น 7 คน ไปตรวจสอบ อย่างไรก็ตามมีพยานอ้างว่าเห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อสีส้มแขนยาว มีหมวกสีดำเหมือนคนตัดอ้อย อุ้มน้องชมพู่ไป

19 พ.ค.63 แผนกนิติเวช รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ยืนยันผลชันสูตร ไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายและการล่วงละเมิดทางเพศ ระบุ “ไม่ปรากฏสาเหตุการตาย แต่พบบาดแผลตามร่างกายและอวัยวะเพศ” ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเกิดจากทำร้ายร่างกาย ล่วงละเมิด หรือสาเหตุใดแน่ชัด เวลาการเสียชีวิตนั้นแพทย์ผู้ชันสูตรและผู้เชี่ยวชาญยืนยันได้ว่าน้องชมพู่เสียชีวิต อยู่ในช่วงเวลาระหว่าง วันที่ 12 พ.ค. เวลาประมาณ 14.30 น. ถึงวันที่ 13 พ.ค. เวลาประมาณ 14.30 น.

20 พ.ค.63 ครอบครัวฌาปนกิจศพน้องชมพู่ ที่ป่าช้าบ้านกกกอก โดยเผาแบบเชิงตะกอนแบบโบราณ ขณะที่ตำรวจตัดผู้ต้องสงสัยออก ทั้งชายเร่ร่อน ชายที่มีภาวะทางจิตคนในหมู่บ้านที่เคยมีประวัติคดีทางเพศ

2 ต.ค.63 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ในขณะนั้น ได้แถลงสรุปผลว่า น้องชมพู่ ไม่สามารถเดินขึ้นไปบริเวณจุดพบศพได้ด้วยตนเอง แต่มีคนร้ายพาไปด้วยเหตุผล 8 ประการคือ
1.เส้นทางที่ยากลำบากเกินความสามารถ โดยข้อเท็จจริงตัวน้องชมพู่ อายุ 3 ปี 2 เดือน สูง 55 ซม. น้ำหนัก 11 กิโลกรัม ไม่กล้าขึ้นบันไดบ้านซึ่งมีความชัน 45 องศา เตียงกับแคร่หน้าบ้าน ก็ไม่สามารถปีนขึ้นได้
2.พลังงานไม่เพียงพอ เนื่องจากอาหารที่น้องชมพู่รับประทานเป็นมื้อสุดท้ายไม่สามารถให้พลังงานเพียงพอให้เดินไปถึงจุดพบศพได้
3.ประสบการณ์ชาวบ้าน ได้ยืนยันว่าหากเด็กหลงทางจะสามารถไปถึงได้เพียงชั้นที่ 2 ของภูเหล็กไฟเท่านั้น
4.กรณีศึกษา จากการหายตัวไปของชาวบ้านกกตูมซึ่งระยะทางไกลกว่าน้องชมพู่ ยังสามารถหาพบภายใน 1 คืน
5.ผู้ชำนาญการยืนยัน แพทย์นิติเวชผู้ทำการผ่าชันสูตรซึ่งเดินจำลองเส้นทางแล้วยืนยันว่า ไม่น่าจะสามารถไปถึงจุดพบศพได้และกุมารแพทย์ยืนยันว่า พัฒนาการของน้องชมพู่ไม่สามารถเดินไปถึงจุดพบศพเองได้
6.สภาพศพ ตอนที่พบศพน้องชมพู่ สภาพเปลือยกาย ซึ่งน้องชมพู่ยังสวมและถอดเสื้อด้วยตนเองไม่ได้
7.พยานหลักฐาน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานพบเส้นผมของน้องชมพู่ถูกตัดด้วยของมีคมด้านเดียว น่าเชื่อว่าเป็นการกระทำของบุคคลอื่น
8.นิสัยส่วนตัว น้องชมพู่กลัวป่าที่ทึบ ไม่กล้าเข้าในสวนยางพารา เคยเล่นแถวไร่มันสำปะหลังเท่านั้น

โดยขณะนั้นมีการรวบรวมพยานหลักฐานได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ซึ่งสรุปได้ว่า
1.การกระทำของคนร้ายในคดีนี้ มีการพาเหยื่อไปทิ้งที่ไกล ๆ เพื่อเป็นการอำพรางคดี ซึ่งเป็นแผนประทุษกรรมของคนร้ายที่เป็นคนใกล้ชิดกับเหยื่อ หากปล่อยให้เหยื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็สามารถชี้ยืนยันตัวเองว่าเป็นผู้กระทำผิดดังกล่าวได้ จึงจำเป็นต้องมีการอำพรางคดีเพื่อให้ความผิดพ้นตัว
2.จากช่วงเวลาที่น้องชมพู่หายตัวไปจากบริเวณจุดเกิดเหตุ พี่สาวของน้องชมพู่ก็อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 10 เมตร แต่กลับไม่ได้ยินเสียงร้องของน้องชมพู่เลย ทั้งที่อุปนิสัยของน้องชมพู่จะเป็นคนหวงตัว หากไม่ใช่บุคคลใกล้ชิดจะร้องเสียงดังทันที
3.อีกทั้งบริเวณจุดพบศพ บนภูเหล็กไฟ ยังพบรองเท้า รถแบ๊กโฮของเล่น ตกอยู่ จึงยืนยันได้ว่าน้องชมพู่เต็มใจเดินไปกับคนร้าย มิฉะนั้นแล้ว ของเล่นหรือรองเท้าจะไม่ติดตัวน้องชมพู่ไปถึงจุดพบศพอย่างแน่นอน

ซึ่งทางตำรวจได้มีการสอบสวนปากคำ พยานบุคคล และพยานผู้เกี่ยวข้อง จำนวน 384 ปาก และได้สอบปากคำเข้าสำนวนการสอบสวน จำนวน 120 ปาก รวมถึงได้สอบปากคำพยานผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ และพยานผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ไว้แล้วจำนวน 31 ปาก

7-8 ม.ค.64 เจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีน้องชมพู่ เชิญคนสนิทเด็กหญิงอย่าง พ่อแม่ พี่สาว น้า ๆ รวมทั้งลุงพลและป้าแต๋น เข้าเครื่องจับเท็จ
29 พ.ค.64 ตำรวจ พบเส้นผม 3 เส้น เป็นหลักฐานและเตรียมขอหมายจับ
1 มิ.ย.64 ศาลจังหวัดมุกดาหารออกหมายจับ ลุงพล ในข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร, ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกิน 9 ปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย, และกระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ คดีนี้ลุงพล ประกันตัวออกมา

27 ก.ค.66 ฝ่ายโจทก์ และฝ่ายจำเลย ในคดีน้องชมพู่ได้เดินทางมาที่ศาลจังหวัดมุกดาหารเพื่อนัดสืบพยานวันสุดท้าย หลังจากเริ่มสืบพยานมาตั้งแต่ 30 มิ.ย.65 จนถึง 27 ก.ค.66 โดยศาลจังหวัดมุกดาหารนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 31 ต.ค.66 เวลา 10.00 น.
31 ต.ค. 66 ศาลจังหวัดมุกดาหารได้แจ้งเลื่อนการอ่านคำพิพากษา เนื่องจากขณะนี้กระบวนการตรวจร่างคำพิพากษาของสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 ยังไม่แล้วเสร็จ จึงขอให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษา ไปปลายเดือน 20 ธ.ค. 66 ตามวันว่างของคู่ความ

และล่าสุดวันที่ 20 ธ.ค. 66 ที่ศาลจังหวัดมุกดาหาร ได้อ่านคำพิพากษาคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ว่า นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล มีความผิดฐานกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ให้จำคุก 10 ปี และฐานพรากเด็กไปจากบิดามารดา ให้จำคุก 20 ปี และยกฟ้อง น.ส.สมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น