บริษัทประกันชีวิตและสุขภาพ “ไวทาลิที” แห่งอังกฤษซึ่งมีลูกค้ามากกว่า 30 ล้านรายทั่วโลกเปิดเผยผลการวิเคราะห์วิจัยในโครงการของบริษัทเกี่ยวกับคนในวัยทำงานเมื่อไม่นานมานี้ พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว คนในวัยทำงานของอังกฤษต้องเผชิญกับความรู้สึกว่าไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน โดยมีจำนวนวันที่ “หมดแรงใจ” สูงสุดตามข้อมูลคือ 50 วันต่อปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอังกฤษ ทำให้มูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศลดลงถึง 138,000 ล้านปอนด์ (ราว 6.2 ล้านล้านบาท) 

สำหรับคนทำงานที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี (เจเนอเรชัน Y และ Z) ตัวเลขของวันที่ “หมดแรงใจ” จะทำงานยิ่งเพิ่มขึ้นสูงเป็น 60 วันต่อปี ขณะที่คนรุ่นเจเนอเรชัน X และรุ่นเบบี้บูมเมอร์มีวันที่หมดพลังใจโดยเฉลี่ยแล้วเพียง 36.3 วันต่อปี คิดเป็นอัตราส่วนที่แตกต่างกันถึง 64%

สำหรับสาเหตุที่ทำให้มีอัตราส่วนที่ต่างกันมากขนาดนั้น ผลวิจัยระบุว่าเป็นเพราะคนทำงานรุ่นเยาว์กว่าและมีฐานะทางการเงินที่ด้อยกว่าต้องดิ้นรนเพื่อจัดการปัญหาด้านอารมณ์และสุขภาพจิตของตัวเองโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากนายจ้าง

อัตราการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าในหมู่คนทำงานรุ่นเยาว์นั้นสูงกว่าคนทำงานรุ่นอื่นถึง 2 เท่า เพิ่มเติมด้วยภาวะความเหนื่อยล้าทางกายและภาวะ “หมดไฟ” (burnout) ทางอารมณ์

ในกลุ่มคนทำงานที่มีรายได้ต่อปีในระดับต่ำกว่า 30,000 ปอนด์ (ราว 1.3 ล้านบาท) ต่อปี มีจำนวน 86% ที่รู้สึกว่าที่ทำงานหรือเพื่อนร่วมงานที่มีรายได้สูงกว่าละเลยหรือไม่ใส่ใจพวกเขา ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้คนทำงานกลุ่มนี้ลาป่วยบ่อย และมีช่วงเวลาที่ขาดประสิทธิภาพในการทำงานที่ยาวนานกว่า 

นอกจากนี้ ผลวิจัยยังพบว่าแม้ในบริษัทที่เสนอความช่วยเหลือในการแก้ไขหรือจัดการปัญหาทางอารมณ์ให้พนักงาน คนทำงานกลุ่มอายุน้อย ๆ เหล่านี้ก็ไม่ค่อยกล้าจะเข้าไปใช้บริการหรือขอความช่วยเหลือจากผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า

ผลการวิจัยล่าสุดของวิทาลิทีได้รับการเผยแพร่ในจังหวะเดียวกันกับที่องค์กรด้านสุขภาพจิตแห่งสหราชอาณาจักรแถลงคำเตือนว่าอังกฤษกำลังเข้าใกล้สภาวะของชาติที่มีแต่ประชากรที่รู้สึก “หมดไฟ” เข้าไปทุกที จากรายงานที่พบว่าคนทำงานทั้งรุ่นอาวุโสและรุ่นเยาว์ต้องเผชิญสภาวะหมดไฟในการทำงานอันเนื่องจากความเครียดและแรงกดดันในสถานที่ทำงานจนต้องขอลาหยุดเป็นจำนวนมาก

ทั้งหมดนี้แสดงว่าสุขภาพจิตของคนอังกฤษกำลังตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ อีกทั้งการที่มีพนักงานขาดงานบ่อย ๆ ยังส่งผลกระทบทางธุรกิจและขณะนี้กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงทำให้มีการเรียกร้องนายกรัฐมนตรีริชี ซูแน็ก เข้ามาแก้ไข้ปัญหานี้อย่างจริงจัง

ที่มา : fortune.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES