เมื่อวันที่ 3 ก.พ. นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า กรณีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองนั้น พรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางเรื่องของกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้เกิดความชัดเจน ทั้งเรื่องเจตนารมณ์ในการนิรโทษกรรม ฐานความผิดที่อยู่ในข่ายจะได้รับการนิรโทษกรรม และกระบวนการการพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดบ้างที่จะได้รับประโยชน์จากกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งจำเป็นต้องแยกให้ชัดว่า คดีประเภทใดที่เกิดขึ้นจากมูลเหตุจูงใจทางการเมือง เหตุเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง ความคิดทางการเมือง ต้องพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า สำหรับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับของพรรคก้าวไกล ที่ถูกบรรจุอยู่ในระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเข้าสู่การพิจารณาในวาระหนึ่งนั้น พรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยในหลายประเด็น ทั้งเรื่องการกำหนดความผิด อำนาจของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาด บุคคลที่จะได้รับการนิรโทษกรรมจากร่าง พ.ร.บ. นี้ ซึ่งจะรวมคดีเกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพราะเป็นการตั้งใจกระทำความผิดโดยมีมูลเหตุจูงใจมาจากวาระที่ซ่อนเร้น และจะกลายเป็นปัญหาที่นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมให้กับผู้ที่มีคดีทุจริตและคดีอาญาสำคัญๆ ที่เป็นความผิดต่อชีวิต ความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ และความผิดในทางแพ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่ร้ายแรงดังกล่าว
นายราเมศ กล่าวว่า นอกจากนี้ การที่บทบัญญัติในมาตรา 5 ของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว กำหนดให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาด ซึ่งมีนักการเมืองผู้มีส่วนได้เสีย ผู้พิพากษา และตุลาการ ร่วมเป็นองค์ประกอบของคณะกรรมการนี้ จะทำให้ขัดต่อกระบวนการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายตุลาการ อีกทั้งจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด
“ถ้าไปดูอำนาจของคณะกรรมการชุดนี้ จะเห็นได้ว่ามีการกำหนดอำนาจไว้มากกว่าอำนาจตุลาการ ไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยฐานความผิดการวินิจฉัยในข้อสงสัยว่าคดีใดจะอยู่ภายใต้ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมนี้หรือไม่ กำหนดให้มีอำนาจสั่งให้ศาลระงับการพิจารณาคดี สั่งให้มีการปล่อยตัวจำเลย ร่างกฎหมายฉบับนี้ ส่งผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมทางอาญาทั้งระบบ” นายราเมศ กล่าว