โดยเดินหน้ายื่นต่อองค์กรอิสระไม่ว่าจะเป็น กกต. และ ป.ป.ช.ให้ดำเนินการขั้นตอนต่อไปคือส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล และอาจนำไปสู่การตัดสิทธิทางการเมืองสังหารหมู่ 44 สส. ที่ร่วมกันลงชื่อเสนอร่างแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ในสมัยที่ผ่านมา

ขณะที่พรรคก้าวไกลรีบเด้งรับลบนโยบายหาเสียงในเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมายมาตราดังกล่าวออกจากเว็บไซต์พรรคทันที  ซึ่ง ต๋อม ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล แจงว่าหวั่นจะถูกนำไปกล่าวหาเป็นประเด็นล้มล้างการปกครองอีก

ส่วนขาประจำอย่าง ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า ก็ออกมาฉะก้าวไกลทันควัน ถามทำไมแหยและหงออย่างนี้ ในคำวินิจฉัยไม่ได้สั่งให้เอาออกเลย ต่อให้เอาออกบทจะยุบก็โดนอยู่ดี แทนที่จะพลิกวิกฤติเป็นโอกาส เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตีกรอบอำนาจศาลฯ แต่กลับกลัวจนลนลาน

อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ที่ผ่านมา เพื่อเช็กความพร้อมในการเลือกตั้งซ่อมเขต 8  ต๋อม ชัยธวัช กลับมีท่าทีฮึกเหิมปลุกพลังใจสมาชิกพรรค ว่า เป็นเพราะการพื้นที่แห่งการเปลี่ยนแปลง ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ขณะที่พื้นที่ทางการเมืองแบบเก่าของผู้มีอำนาจ หดแคบลงเรื่อยๆ จนเขาต้องสร้างกำแพงขึ้น เคยเจอสถานการณ์นี้มาแล้วในช่วงปี 62-63 ในการยุบพรรคอนาคตใหม่ “มีแต่คนบอกว่าถ้ายิ่งยุบ คราวหน้าก้าวไกล หรือชื่ออะไรไม่รู้ แต่แลนด์สไลด์แน่นอน”

หัวหน้าพรรคก้าวไกลยังย้ำความมั่นใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผู้บริหารและแกนนำพรรคพร้อมรับทุกสถานการณ์  ขอให้ผู้สนับสนุนพรรคมัดกันให้แน่น ในสถานการณ์นี้ใครโกรธแค้น ใครไม่พอใจให้แสดงออกด้วยการสมัครสมาชิกพรรคเพิ่ม ศึกแรกคือให้การเลือกตั้งซ่อมเขต 8 ในช่วงกลางปีแสดงให้เห็นว่าประชาชนรู้สึกอย่างไรกับผู้มีอำนาจในประเทศนี้ ว่าเราไม่กลัว เราไม่หยุด เราจะผลักดันความคิด ความฝันความเชื่อของพวกเราต่อไปผ่านคูหาเลือกตั้งให้ได้

จากนี้คงเกาะติดว่ากระบวนการลงดาบซ้ำพรรคก้าวไกลจะเดินเร็วแค่ไหน เพียงพอที่จะให้ตั้งหลักปรับทัพรับมือหากสถานการณ์เดินไปสู่จุดเลวร้ายที่สุดคือการยุบพรรคและ 44 สส.ตัวจี๊ดตายหมู่ทางการเมืองหรือไม่ แต่สิ่งสำคัญคือฝ่ายผู้มีอำนาจก็ต้องชั่งน้ำหนักไว้ด้วยว่าถ้ายุบพรรคก้าวไกลแล้วผลลัพธ์จะได้หรือเสีย เพราะบทเรียนในการยุบพรรคที่ชนะเลือกตั้งจากประชาชนก็เคยปรากฏให้เห็นมาตลอดอยู่แล้ว.