เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยถึงการดำเนินงานโครงการกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ตนได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต ซึ่งได้ทบทวนแผนการดำเนินงานที่ผ่านมา โดยได้มีการจัดสรรทุนการศึกษาสำหรับปี 2564 สำหรับทุนการศึกษาพยาบาล พร้อมทั้งให้เพิ่มทุนเสมาพัฒนาชีวิตให้แก่นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และนักเรียนที่กำลังศึกษาในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ด้วย

“การให้ทุนดังกล่าวได้เพิ่มช่องทางการช่วยเหลือด้วยการสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับจัดซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอน รวมถึงในอนาคตผมอยากให้กองทุนดังกล่าวเปิดกว้างสำหรับเด็กที่ต้องการรับทุนและประสบภาวะปัญหาความยากจนจริงๆ เนื่องจากที่ผ่านมา กองทุนเสมาฯ จะให้น้ำหนักกับนักศึกษาพยาบาล อีกทั้งจุดประสงค์ของกองทุนคือดึงเด็กหญิงในภาคเหนือที่ยากจน เสี่ยงต่อการล่อลวงไปค้าประเวณี ให้อยู่ในระบบการศึกษาต่อระดับวิชาชีพ หรือ กลุ่มเด็กตกเขียว จึงเขียนระเบียบจำกัดเกินไป ดังนั้นจึงอาจมีการทบทวนเปิดกว้างการจัดสรรทุนให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับเด็กไทยทั่วประเทศที่อยู่ในสภาวะลำบาก เช่น พ่อแม่เสียชีวิต พิการ ขาดผู้อุปการะ มีฐานะยากจน” ปลัด ศธ.กล่าวและว่า สำหรับการวางแนวทางเพื่อปิดช่องทุจริตไม่ให้เกิดขึ้นเหมือนในอดีตที่ผ่านมานั้น ในยุคที่ตนเป็นผู้ดูแลกองทุนฯ ดังกล่าวได้ปรับระบบเบิกจ่ายที่รัดกุมขึ้น โดยวิธีการจ่ายเงินจะจ่ายตรงไปยังผู้รับทุนหรือสถานศึกษา ซึ่งหากจะเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินการให้ทุนไม่ว่าจะกี่บาทก็ตาม ตนจะนำเข้าคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาทันที อีกทั้งจะไม่มอบการดำเนินงานในลักษณะหลักการ เช่น ให้ตนต้องเซ็นกำกับเมื่อมีกุญแจหาย หรือนำเงินไปฝากแล้วไม่ฝากไม่ได้ เป็นต้น

ดร.สุภัทร กล่าวต่อไปว่า ส่วนประเด็นการฟ้องละเมิดของผู้เกี่ยวข้องที่จะต้องร่วมชดใช้ค่าเสียหายนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของฝ่ายกฎหมาย และผู้กระทำความผิดคือ นางรจนา สินที อดีตข้าราชการระดับ 8 ได้รับทราบว่ามีการหนีคดีระหว่างการพิจารณาคดี ซึ่งเป็นกระบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการติดตามดำเนินคดีต่อไป อย่างไรก็ตาม ในอนาคตผมเป็นห่วงว่าเงินในกองทุนเสมาพัฒนาชีวิตที่เป็นเงินฝากประจำและใช้เงินดอกผลจากกองทุนมาจัดสรรนั้นจะไม่มีเงินแล้ว เพราะในยุคของตนที่ยังเหลือวาระอีก 1 ปีสามารถบริหารจัดการได้พอดี แต่ผู้ที่มารับช่วงต่อจากตนจะลำบาก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยน้อยลงและไม่มีรายได้จากทางอื่นมาสมทบเพิ่มเติม ซึ่งในอนาคตจะต้องวางแผนการระดมทุนให้มากขึ้น.