อันยองแฟนๆ “บันเทิงเดลินิวส์” ทุกท่าน วนกลับมาพบกับ “นูน่าเมี้ยน” อีกแล้วนะคะ ซึ่งนูน่าก็มาพร้อมกับพื้นที่ที่รวบรวมข่าวสารของวงการบันเทิง K-Pop นักแสดง ไอดอลเกาหลีในรอบสัปดาห์แบบพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟอย่าง “SeoulStation” โดยสัปดาห์นี้นูน่าเมี้ยน ก็จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับซีรีส์แนวอาชญากรรมระทึกขวัญ ที่หลายคนให้ความสนใจและตั้งตารอคอยกันเป็นอย่างมาก สำหรับซีรีส์ “A Killer Paradox” ทาง Netflix ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูนชื่อเรื่อง “Sarinjaonangam” นำแสดงโดย “ชเวอูชิก”, “ซนซอกกู” และ “อีจีฮุน” ที่จะพาคุณไปขุดคุ้ยหลักฐาน และก้นบึ้งจิตใจฆาตกรไปด้วยกัน

สำหรับ “A Killer Paradox” จะบอกเล่ารื่องราวของ “อีทัง” (รับบทโดย ชเวอูชิก) หนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดาคนหนึ่งที่ทะเลาะกับลูกค้าในระหว่างทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อกะกลางคืน และเผลอพลั้งมือฆ่าชายคนนั้นโดยไม่รู้ตัว เขาทุกข์ทรมานจากความรู้สึกผิดและกลัวที่ว่าตัวเองเป็นคนลงมือก่อเหตุฆาตกรรม ซึ่งต่อมา อีทังได้รู้ว่าคนที่เขาฆ่าไปนั้น เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ถูกตามหาตัวมานานกว่า 4 ปีแล้ว เขาเริ่มตระหนักได้ว่าตัวเองมีความสามารถเหนือธรรมชาติในการรับรู้ได้ว่าใครคือคนชั่วที่สมควรตาย ในไม่ช้า เขาก็กลายเป็นฮีโร่แห่งความมืดที่ลงโทษคนชั่วร้ายที่เคยทำเรื่องไม่ดีในอดีต

ชเวอูชิก

ทำให้ “จางนันกัม” (รับบทโดย ซนซอกกู) ตำรวจนักสืบฝีมือดีผู้รับผิดชอบคดีฆาตกรรมดังกล่าว เริ่มทำการสืบค้นเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยความสงสัยว่า อีทังนั่นแหละที่เป็นฆาตกร ในขณะเดียวกันด้าน “ซงชน” (รับบทโดย อีฮีจุน) อดีตตำรวจนักสืบก็มาตามล่าอีทังซ้ำอีก จนกลายเป็นการไล่ล่าแบบแมวจับหนูไปไม่มีที่สิ้นสุด โดยซีรีส์เรื่องนี้เป็นผลงานของผู้กำกับ “ลีชางฮี” ที่เคยฝากผีมือ และแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในประเภทระทึกขวัญ และได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์และสาธารณชนต่างชื่นชอบทั้ง “Strangers from Hell” และภาพยนตร์เรื่อง “The Vanished” ซึ่งในซีรีส์เรื่องนี้เขาได้ถ่ายทอดไหวพริบอันโดดเด่น และมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ผ่านฉาก และงานที่มีรายละเอียด เพื่อสร้างซีรีส์ที่ยกระดับแนว “K-thriller”

ซนซอกกู

แถมล่าสุด “นูน่าเมี้ยน” ได้มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษ 3 นักแสดงนำ อย่าง ชเวอูชิก, ซนซอกกู และ อีจีฮุน แบบเอ็กซ์คลูซีฟถึงเบื้องหลังการทำงานในครั้งนี้ พร้อมเล่าถึงความท้าทาย และความซับซ้อนของแต่ละตัวละคร ซึ่งบอกเลยว่าไม่ธรรมดาจริงๆ 

“อีทัง” เป็นสไตล์ตัวละครในแบบที่เราไม่ค่อยได้เคยเห็นบ่อยนักในสื่อบันเทิงของเกาหลี คุณรู้สึกอย่างไรกับคาแรกเตอร์นี้บ้าง ก่อนจะตัดสินใจรับงานนี้?

ชเวอูชิก: บทบาทที่ผ่านๆ มาของผม ส่วนใหญ่จะเน้นเป็นผู้เล่าเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้เองก็เปิดโอกาสให้ผมได้แสดงให้เห็นการเติบโตของอีทังครับ ผมเองชอบคาแรกเตอร์นี้ตั้งแต่จากต้นฉบับที่เป็นเว็บตูนแล้ว นอกจากจะเป็นโอกาสในการแสดงอีกแง่มุมหนึ่ง ที่ผมไม่เคยได้ลองมาก่อน การเปลี่ยนแปลงของตัวละครนี้ในเรื่อง ยังเป็นสิ่งแปลกใหม่ในสื่อบันเทิงเกาหลีอีกด้วย ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นและสนุกไปกับการรับบทนี้ครับ

อีจีฮุน

เทคนิคการตัดสลับระหว่างฉาก งานกำกับศิลป์ (DOP) และดนตรีประกอบในซีรีส์เรื่องนี้ ทำให้นึกถึงงานของผู้กำกับเควนติน ทารันติโน (Quentin Tarantino) และ เดวิด ฟินเชอร์ (David Fincher) อยากทราบว่าเป็นการถ่ายทำที่พิถีพิถันแบบนั้นเลยหรือไม่ อย่างไร และคุณมีความประทับใจต่อผู้กำกับอีชางฮีอย่างไรบ้าง?

ซนซอกกู: ผมเองก็เคยดูและชื่นชอบผลงานของทั้งผู้กำกับเดวิด ฟินเชอร์ และทารันติโนเลยครับ ดังนั้นโดยส่วนตัวแล้วผมจึงมองว่าผู้กำกับอีชางฮีมีความแตกต่างออกไปนะครับ ผู้กำกับทั้งสองที่กล่าวถึงมีการทำงานตามกรอบหรือบรรยากาศที่ควบคุมเตรียมไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว แต่ผู้กำกับอีชางฮีดูจะชอบถ่ายทำแบบดิบๆ มากกว่านะครับ ถึงแม้ว่าจะมีการวางแผนการถ่ายทำไว้ก็ตาม แต่เขาก็จะยอมให้มีปัจจัยอื่นที่ไม่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้าส่งผลในการสร้างงานด้วยครับ อย่างเช่น ฉากที่พูดคุยกัน ก็จะไม่ได้ถ่ายแบบภาพยนตร์ซึ่งมักเป็นการถ่ายทีละคน แต่จะถ่ายพร้อมกันเลยทีเดียว ไม่ก็ถ่ายทำรวมโดยทำเป็น two shot จับภาพพร้อมๆ กันครับ ทำให้ผู้ชมมองเห็นภาพที่เป็นจริงเหมือนไม่ได้สร้างขึ้นมา แต่เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ น่ะครับ จึงเป็นเหตุผลให้ผมมองว่าสไตล์การถ่ายทอดค่อนข้างต่างกันนะครับ ผู้กำกับอีชางฮีจะถ่ายทอดออกมาเหมือนเป็นละครเวทีเลยครับ ไม่ใช่แค่เซตอัปกล้องแล้วให้พูดตามบทไปก็เสร็จ ดังนั้น ในฐานะของนักแสดง พวกเราจึงมีอิสระในการทำงานมากขึ้นครับ

อีจีฮุน: สำหรับผมก็มีครั้งหนึ่งที่ต้องถ่ายทำฉากแอ๊คชั่น สู้กับศัตรูกว่า 10 คนครับ พอต้องถ่ายเป็นฉากเต็มตัวตลอดทั้งฉาก จึงทำให้ผมไม่สามารถใช้นักแสดงแทนได้ ต้องเล่นเองทั้งหมดเลย ส่วนความประทับใจต่อผู้กำกับ ในช่วงการถ่ายทำ ผู้กำกับจะคอยถามนักแสดงแต่ละคนเรื่องการตีความตัวละครตลอดว่า คิดว่าตัวละครน่าจะพูดว่าอย่างไร จะทำอย่างไรต่อไป แล้วก็นำไปปรับเปลี่ยนบทจริงๆ ให้ด้วยครับ

อะไรคือความท้าทายสำหรับการสวมบทเป็นฆาตกร และต้องเตรียมตัวอย่างไรในการเล่นบทฆาตกร?

ชเวอูชิก: แทนที่จะมองว่าผมกำลังสวมบทเป็นฆาตกรหรือนักฆ่า (Killer) ผมอยากเน้นไปที่ตัวตนของตัวละคร “อีทัง” โดยเฉพาะในด้านวิวัฒนาการและการแสดงออกถึงความรู้สึกของเขามากกว่าครับ เนื่องจากในแต่ละฉากที่ผมเล่น ก็คือแต่ละสถานการณ์ที่อีทังต้องเผชิญ ผมจึงเน้นวิเคราะห์ว่า ถ้าผมเป็นอีทัง แล้ว ผมจะทำอย่างไรดี จะรู้สึกแบบไหน จะแสดงสีหน้าออกมาอย่างไร ซึ่งผมเองก็ได้ปรึกษากับผู้กำกับอยู่หลายครั้งเพื่อทำความเข้าใจและเข้าถึงตัวละครนี้ให้ได้ดียิ่งขึ้นครับ

จากภาพในเรื่องนี้ เห็นได้ว่าบทบาทของ “ซนซอกกู” มีสไตล์ที่ต่างไปจากเดิม มีการไว้หนวดอีกด้วย มีเหตุผลใดเป็นพิเศษเป็นพิเศษหรือไม่ที่สร้างลุคของตัวละครมาเช่นนั้น เป็นหนึ่งในการเพิ่มเสน่ห์ความเป็นชายให้กับตัวละครหรือเปล่า หรือเป็นวิธีในการสร้างความแตกต่างจากบทตำรวจอื่นๆ ที่เคยสวมบทบาท?

ซนซอกกู: เพราะผมอยากดูเซ็กซี่ครับ (หัวเราะ) จริงๆ แล้ว ผมคิดว่าเขาน่าจะต้องการแสดงความเป็นชายของตัวเองออกมาน่ะครับ ก็เลยเลือกที่จะไว้หนวด

เนื่องจาก “ซงชอน” เป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนสูง อยากทราบสิ่งที่รู้สึกเพลิดเพลินมากที่สุดเมื่อรับบทเป็นตัวละครนี้?

อีฮีจุน: ผมเพิ่งอายุครบ 18 เองครับ แต่ตัวละครที่ผมรับบทกลับมีอายุถึง 65 ปี (หัวเราะ)

ซนซอกกู: ใช่ครับ ระหว่างเราสามคน เขาอายุน้อยที่สุดแล้วครับ เพิ่งจะอายุ 18 ครับ

อีฮีจุน: เนื่องจากผมรับบทเป็นคนมีอายุ… (หัวเราะ) ที่พูดไป ไม่มีใครเชื่อเลยสินะครับ (หัวเราะ) แต่นั่นแหละครับ เนื่องจากผมรับบทเป็นคนมีอายุ จึงต้องใช้เวลาในการแต่งหน้าแต่งตัว 2 ชั่วโมง และลบออกอีก 1 ชั่วโมงในทุกๆ วันครับ ทุกครั้งที่แต่งตัว ผมหลับตาผ่านไปสัก 2 ชั่วโมง ก็จะตื่นมาเจอกับคนแก่คนหนึ่ง มันก็เป็นประสบการณ์ที่สนุกและเพลิดเพลินดีครับ นอกจากนี้ ผมจะคอยสังเกตและศึกษาพฤติกรรมของผู้สูงอายุ อีกทั้งตัว “ซงชอน” เองก็เป็นฆาตกรต่อเนื่อง แต่ยังมีเหตุผลที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้เขามุ่งมั่นพยายามที่จะเจอกับฆาตกรต่อเนื่องอีกคนที่อายุน้อยกว่า การตีความและเข้าถึงความคิดของเขาในจุดนี้ก็เป็นส่วนที่น่าสนใจเช่นกันครับ

คุณมองว่า “อีทัง” เป็นฮีโร่ หรือ ตัวร้าย?

ชเวอูชิก: เป็นคำถามที่ยากมากเลยนะครับ ผมว่าหลายๆ คนเองก็น่าจะมองเขาแตกต่างกันออกไปด้วย ผมเองก็ไม่กล้าตอบเยอะเพราะกลัวว่าจะเป็นการสปอยล์ แต่ทั้งตัวอีทังเองและผู้ชมเองก็คงเกิดคำถามนี้ในใจอยู่ตลอดการรับชมหรือหลังดูเรื่องนี้จบไปแล้วก็ตาม ผมยังคิดไม่ตกมาจนถึงตอนนี้ จึงยากที่จะตอบฟันธงให้ได้ครับ

อีฮีจุน: อย่างที่ทราบกันว่าชื่อเรื่องในภาษาอังกฤษคือ A Killer Paradox แต่จริงๆ จะมีกิมมิกในชื่อเรื่องที่เป็นภาษาเกาหลีด้วยครับ ซึ่งชื่อเกาหลีคือ 살인자ㅇ난감 ครับ ดังนั้นจะเห็นว่า ตัวอักษรที่เป็นเหมือนวงกลมตัวกลาง จริงๆ แล้วจะสามารถตีความได้หลายความหมายมากเลยครับ เช่น อ่านเป็น “โอ!” เหมือนตอนอุทาน โดยตีความได้ว่า “โอ! ฆาตกรเริ่ม (ตกใจและลำบากใจจน) ทำอะไรไม่ถูกแล้วละสิ” หรือถ้าจะใส่ไปเป็นตัวสะกดของคำว่า자 ก็จะแปลเป็นคำศัพท์ได้เลยว่า “ฆาตกร และ ของเล่น” หรือ คำว่าของเล่นในภาษาเกาหลีก็ยังไปตรงกับชื่อตัวละคร ซึ่งก็คือ “จางนันกัม” ได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นการตีความจึงขึ้นอยู่กับการอ่านออกเสียงชื่อเรื่อง ทำให้สื่อได้ว่า เราสามารถตีความเรื่องนี้ได้ในหลายทิศทางน่ะครับ

ซนซอกกู: ผมคิดว่า อีทังเป็นคนไม่ดีครับ ไม่ดีมากๆ เลยครับ แต่ถ้าเป็นอูชิกนี่ถือเป็นฮีโร่ของผมเลย

คุณรับบทเป็นตำรวจมาแล้วหลายเรื่อง อยากรู้ว่าคาแรกเตอร์ตำรวจครั้งนี้ต่างจากเรื่องอื่นยังไง และคุณมีวิธีการแบบไหนในการตีความตัวละครนี้?

ซนซอกกู: บทตำรวจ ‘จางนันกัม’ ที่ผมรับบทในเรื่องนี้ ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่มีปัญหาอยู่ในใจมาเป็นเวลานาน ว่าใครกันแน่ที่มีสิทธิที่จะลงโทษคนอื่น ใครที่จะเป็นคนพิพากษาผู้กระทำผิด และความคิดนี้ก็ส่งอิทธิพลต่อตัวตนของนันกัมเองและพฤติกรรมต่างๆ ที่เขาแสดงออกมา เขาคือตำรวจทั่วๆ ไปครับ

อีฮีจุน: ตัวละครนี้มีความเป็นชายสูงกว่าตัวละครไหนเลยครับ แล้วก็เซ็กซี่กว่าใครๆ ด้วย

ซนซอกกู: ผมขอเปลี่ยนคำตอบได้มั้ยครับ (หัวเราะ) ขอตอบสั้นๆ เลยครับว่าเขาเซ็กซี่กว่าใครๆ ครับ

ในอีกแง่มุม อีทังเป็นเหมือนเป็นตัวแทนของกรรม ที่คอยทำหน้าที่เป็นหน้ากากความยุติธรรม ในฐานะนักแสดงคุณรู้สึกอย่างไรกับโชคชะตาที่มักจะกลับกลายเป็นว่าพลิกผันมาเข้าข้างเขาเสมอ และการรับบทอีทังส่งผลกระทบทางจิตใจต่อคุณหรือไม่หลังจากถ่ายทำจบ?

ชเวอูชิก: จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ เนื่องจากเขาสามารถรับรู้ได้ว่าใครก่อความผิดมา ใช่เลยครับ จะเรียกเขาอย่างนั้นก็ได้ครับ ส่วนสำหรับอีกคำถามนะครับ ไม่เลยครับ ถึงแม้ว่าจะน่ากังวล เพราะเป็นเรื่องที่มีบรรยากาศที่หนักและระทึกขวัญ อุปกรณ์ประกอบฉากเองก็มีทั้งเลือดและอาวุธต่างๆ แต่จริงๆ การถ่ายทำเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะระหว่างพวกเรา ทีมงาน ผู้กำกับเองก็เป็นคนที่สนุก เราคุยเล่นกันตลอดเลยครับ

ทำการบ้านพร้อมแล้ว ก็เตรียมตัวจัดเต็มไปขุดคุ้ยหลักฐาน และก้นบึ้งจิตใจฆาตกรพร้อมกัน 9 กุมภาพันธ์นี้ ที่ Netflix เลยจ้า


คอลัมน์ “SeoulStation”
โดย “นูน่าเมี้ยน”