หากย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 10 ปี ก่อนวงการ “สตาร์ทอัพ” ของไทยถือว่าอยู่ในช่วง “ฮิต” และ “ฮอต” ในแวดวงกลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือนักศึกษาที่กำลังจบใหม่ ต่างหันมาจับงานรวมกลุ่มทำธุรกิจ สตาร์ทอัพ จำนวนมาก!!
แต่ผ่านมาถึงปัจจุบัน ก็มี สตาร์ทอัพ “ล้มหายตายจาก” ไปจำนวนไม่น้อย!!
ซึ่งเป็นไปตามวัฎจักรของวงการสตาร์ทอัพ ที่จะมีธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอยู่รอดได้ไม่ถึง 10% ส่วนอีก 90% กลับล้มเหลวต้องปิดบริษัทลง!!
เห็นได้จากประเทศไทยมีสตาร์ทัพ ที่โตไปสู่ “ยูนิคอร์น” ที่มีมูลค่าธุรกิจมากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 30,000 ล้านบาท เพียง 3 รายเท่านั้น คือ Flash Express, Ascend Money และ Bitkub

อย่างไรก็ถาม วงการสตาร์ทอัพโลกและไทย ต่อจากนี้จะมีทิศทาอย่างไร หาคำตอบ จากผู้ที่ทำงานอยู่ในวงการ คือ “จุฑามาศ งามวัฒนา” Head of True Incube หน่วยงานด้านสตาร์ทอัพของ ทรู คอปอเรชั่น
“จุฑามาศ งามวัฒนา” บอกว่า ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา วงการสตาร์ทอัพโลกและไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก มีความท้าทายมีมากขึ้น จากวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้สตาร์ทอัพระดมทุนยากขึ้น ขณะที่การล้มของ Silicon Valley Bank นำมาซึ่งผลกระทบต่อสตาร์ทอัพทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส เช่นเดียวกับวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในอัตราเร่ง เกิดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล อย่างแพร่หลาย ในยุค“ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal)
อย่างไรก็ตามเมื่อเมื่อเปรียบเทียบตลาดสตาร์ทอัพไทยและต่างประเทศ จะมีความแตกต่างกัน โดยในตลาดพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ จีน อิสราเอล ที่มุ่งเน้นการพัฒนา Deep Tech หรือเทคโนโลยีขั้นสูง โดยมี AI และ Machine Learning เป็นแกนหลักของการพัฒนาจนกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยี และบางประเทศเช่น จีน ได้ระบุเรื่องการพัฒนา AI ในแผนพัฒนาชาติ ผ่าน Open Innovation โดยการทำงานร่วมกับรัฐและภาคเอกชน อาทิ เช่น Alibaba, Huawei, Tencent, Baidu และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่น (Tech Giant companies)) เพื่อให้จีนแซงสหรัฐฯ และขึ้นเป็นผู้นำโลกในด้าน AI ในปี 2030

ขณะที่ตลาดเอเชียตะว้นออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน สตาร์ทอัพส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นการพัฒนา Digital Tech ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงเท่าใด โดย ส่วนใหญ่จะเป็น Market Place, E-commerce platform เป็นต้น ทำให้เกิดการแข่งขันสูง มีการลอกเลียนแบบได้ง่าย ทำให้สตาร์ทอัพบางรายระดมทุนไม่ได้สำเร็จ จนทำให้ต้องเลิกกิจการไป
“สตาร์ทอัพไทยต้องเผชิญกับความท้าทายที่มากขึ้น เพราะด้วยขนาดตลาดเล็ก เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน อย่างอินโดนีเซีย และสมรภูมิการแข่งขันที่เป็นไปอย่างไร้พรมแดน คู่แข่งจึงไม่ใช่เป็นเพียงบริษัทในประเทศ แต่ยังรวมถึงผู้เล่นในระดับภูมิภาคและระดับโลก สิ่งที่จะช่วยให้สตาร์ทอัพไทยประสบความสำเร็จได้ คือ จะต้องมีทีมที่ดี ภูมิหลังที่ดี ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาด และมีเทคโนโลยีที่ดีจริง และหากเป็นสตาร์ทอัพที่เน้นในเรื่อง ดิจิทัล หากมีการพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์ และบริการ ให้เป็น Universal รวมถึงมีทีมที่มีศักยภาพในการบุกตลาดต่างประเทศ ที่มีตลาดที่ใหญ่ จะมีโอกาสในการเติบโตสูงขึ้น ส่งผลดีต่อสตาร์ทอัพเอง”
ผู้บริหารของ True Incube ยังบอกว่า “จริงๆ แล้ว ไทยมีคนเก่งอยู่มากๆใน สตาร์ทอัพสาย Deep Tech อาทิเช่น BioTech, HealthTech Drones & Robotics แต่ติดปัญหา คือ ยังไม่สามารถ commercialize หรือทำให้เป็นการค้าได้ ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงจำเป็นต้องช่วยกันกระตุ้นให้เกิดการ commercialize เพื่อเพิ่มขีดศักยภาพในการแข่งขัน ของธุรกิจไทย และขยายไปต่างประเทศอีกด้วย”
“ปัจจัยจำเป็นที่จะช่วยส่งเสริมสตาร์ทอัพไทย คือ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องให้การสนับสนุน อาทิ องค์กรเอกชนใหญ่ ควรเปิดโอกาสทำงาน กับสตาร์ทอัพได้เข้ามาทำงาน ได้เรียนรู้โจทย์ เละเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในองค์กร เพื่อให้สตาร์ทอัพ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงความต้องการของตลาดหรือผู้บริโภค ในขณะเดียวกันพนักงานในองค์กร ก็มีโอกาสได้เลกเปลี่ยนความรู้กับสตาร์ทอัพ ซึ่งอาจจะนำไปสู่ Co-Creation เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน ” จุฑามาศ กล่าว

ขณะเดียวกันในมุมของ True Incube นั้น ทาง “จุฑามาศ งามวัฒนา” บอกว่า เราจึงมีบทบาทสำคัญ อย่างยิ่งต่อการเป็น Backbone เพื่อทรานส์ฟอร์มองคาพยพยต่างๆ ของประเทศอย่างครบวงจร เช่น เงินทุน, mentorship สถานที่อย่าง True Digital Park รวมถึงการเติบโตและการขยายตลาดโดยผู้สนับสนุนระดับโลกจากทั้ง CP Group และ Telenor Group
“ปัจจุบัน True Incube ได้เข้าไปช่วยสนับสนุนสตาร์ทอัพ สาย Deep Tech โดย บางบริษัทได้ก่อตั้งโดยนักวิจัย จาก ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สวทช (NSTDA) เช่น AI9 โดยได้เคยการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยี NLP ของ AI9 มาต่อยอดในหุ่นยนต์ (Home Robot) เพื่อควบคุมบ้าน และที่อยู่อาศัย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านกับ ทีม True Robotics ให้บ้านหรือที่อยู่อาศัยเป็น Smart Home”
“True Incube ต่อจากนี้ เราวางเป้าให้ True Incube เป็น Top-of-Mind CVC in region เพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตของระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทย โดยจะเฟ้นหาสตาร์ทอัพไทยหน้าใหม่ที่อยู่ใน Seed แต่ต้องพัฒนาสินค้าและบริการแล้ว แต่หากเป็นสตาร์ทอัพต่างชาติ จะต้องอยู่ใน Series A ขึ้นไป ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดถึงความอยู่รอดของสตาร์ทอัพนั้นๆ ในประเทศตัวเอง โดย synergistic value เป็นเกณฑ์ สำคัญหนึ่ง นอกจากเทคโนโลยี, ผู้บริหารสตาร์ทอัพ, monetization model เป็นต้น ที่ จะพิจารณาคัดเลือกเพื่อสร้างพันธมิตรทางการค้า และหรือลงทุนโดยเทคโนโลยี”
ผู้บริหารของ True Incube ยังบอกอีกว่า นอกจากการเฟ้นหาสตาร์ทอัพและความร่วมมือเชิงกลยุทธ์แล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่าง คือ “การลงทุน” ซึ่งจะมีการประเมินพอร์ตการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน True Incube พิจารณาลงทุนอยู่ราว 24-25 ดีล โดยส่วนใหญ่เป็นสตาร์ทอัพให้บริการด้านซอฟต์แวร์ (SaaS) นอกจากนี้ ยังลงทุนผ่านกองทุนสตาร์ทอัพ เช่น 500 Startups ในสหรัฐฯ หรือ Fund of Funds เพื่อหาผลตอบแทนทางการเงิน โดยมีมูลค่าการลงทุนรวม 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ในด้านผลตอบแทน มีมูลค่ากำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Unrealized Gain Valuation) จากสตาร์ทอัพที่ลงทุนไปและเริ่มมีผลตอบแทนเกิดขึ้นจริงจากการลงทุนผ่านกองทุนแล้ว เช่น กองทุน 500 Startups รวมรายได้มูลค่าเพิ่มที่เกิดจากซินเนอร์ยี่จนเป็นธุรกิจใหม่ของทรู เช่น หมอดี เป็นต้น
สรุปแล้วสตาร์ทอัพของไทย ยังมีโอกาส หากพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค มีแผนธุรกิจ และการตลาดที่ชัดเจน ก็มีโอกาสแจ้งเกิดในวงการได้!?!
จิราวัฒน์ จารุพันธ์