เมื่อวันที่ 13 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.การต่างประเทศ ได้หารือทวิภาคีกับนายแอนโทนี เจ. บลิงเคน รมว.ต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 ก.พ. เวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา (ซึ่งช้ากว่าเวลาประเทศไทย 12 ชั่วโมง) ในโอกาสที่นายปานปรีย์เยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ
โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะขับเคลื่อนความร่วมมือตามแถลงการณ์ว่าด้วยความเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-สหรัฐ ทั้งด้านความมั่นคง ซึ่งไทยกับสหรัฐ จะหารือร่วมกันในระหว่างการประชุม Strategic and Defense Dialogue (2+2) ครั้งที่ 2 ที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 28-29 ก.พ. นี้ และการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการค้าและการลงทุน ตลอดจนการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และทั้ง 2 ฝ่าย ได้หารือถึงสถานการณ์ในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคและสถานการณ์ในเมียนมา โดยฝ่ายไทยได้แจ้งความคืบหน้าการดำเนินการของฝ่ายในการแก้ไขปัญหาในเมียนมา รวมถึงข้อริเริ่มของไทยด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ซึ่งฝ่ายสหรัฐ ชื่นชมบทบาทของไทยในเรื่องนี้และแสดงท่าทีสนับสนุน

อีกทั้ง ฝ่ายไทยกับสหรัฐ ได้หารือถึงสถานการณ์ในภูมิภาคต่างๆ ได้แก่ สถานการณ์ในอิสราเอลและยูเครน การให้ความช่วยเหลือตัวประกันชาวไทยในฉนวนกาซา และฝ่ายไทยได้ใช้โอกาสนี้ในการขอรับการสนับสนุนจากสหรัฐ ในการสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ วาระปี 2568-2570 ด้วย
นอกจากนี้ ในวันเดียวกัน นายปานปรีย์ ยังได้หารือทวิภาคีกับนางจีนา เรมอนโด รมว.พาณิชย์สหรัฐ โดยมีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมด้วย ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและความเห็นเพื่อหาแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือในด้านการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งรวมถึงด้านพลังงานสะอาดและเศรษฐกิจดิจิทัล ตลอดจนการลงทุนในด้านเซมิคอนดักเตอร์ และการส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาคผ่านโครงการแลนด์บริดจ์ของไทย โดยรองนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้นักธุรกิจสหรัฐมาลงทุนในไทยด้วย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับการขยายความร่วมมือในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก ซึ่งไทยมีบทบาทที่แข็งขันในกรอบดังกล่าว

ทั้งนี้ นายปานปรีย์ ให้สัมภาษณ์หลังการหารือ ว่า การเดินทางเยือนครั้งนี้ถือมีความสำเร็จอย่างมาก และสหรัฐ เริ่มให้ความสนใจในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ขณะเดียวกันไทยได้แสดงความพร้อมต่อการที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางเยือนสหรัฐ หากได้รับคำเชิญอย่างเป็นทางการ สำหรับการพบกับนายบลิงเคนนั้น ได้หารือถึงเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการที่ไทยให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมประชาชนในเมียนมา ซึ่ง รมว.ต่างประเทศสหรัฐให้การสนับสนุนไทยในเรื่องนี้ และตนได้บอกเล่าถึงสถานการณ์ในเมียนมาในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องชายแดนไทย-เมียนมา ที่จะได้หารือความคืบหน้าในโอกาสต่อไป อีกทั้งได้หยิบยกเรื่องอาชญากรรมตามแนวชายแดนขึ้นมาหารือด้วย เพราะเป็นสิ่งที่ไทยไม่อยากให้เกิดขึ้น และสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน จึงต้องการให้เกิดความร่วมมือการป้องกันภัยคุกคามระหว่างประเทศ
นายปานปรีย์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ตนได้พูดคุยกับนายบลิงเคนถึงเรื่องตัวประกันชาวไทยที่ยังถูกกลุ่มฮามาสจับกุม เนื่องจากทราบว่านายบลิงเคนเดินทางไปอิสราเอลหลายครั้ง และพยายามพูดคุยให้มีการหยุดยิง เพื่อช่วยเหลือตัวประกัน ตนจึงแจ้งให้ฝ่ายสหรัฐทราบว่ายังเหลือคนไทยที่ถูกจับกุม 8 คน หากสหรัฐมีโอกาสช่วยประสานงานหรือผลักดันในการปล่อยตัวประกันทั้งหมดรวมถึงชาวไทยด้วย ก็จะเป็นสิ่งที่ดี

ส่วนโครงการแลนด์บริดจ์นั้น นายปานปรีย์ กล่าวว่า ตนได้พูดคุยกับ รมว.พาณิชย์ และนาย Amos Hochstein ที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดีสหรัฐ ด้านพลังงานและการลงทุน ซึ่งฝ่ายสหรัฐ ให้ความสนใจในเรื่องการค้าและการลงทุนกับไทย อีกทั้งได้สอบถามรายละเอียดจำนวนมากเกี่ยวกับโครงการแลนด์บริดจ์ของไทย ซึ่งฝ่ายไทยแจ้งว่าเมื่อมีความพร้อม จะส่งรายละเอียดของโครงการนี้ให้ฝ่ายสหรัฐทันที