เมื่อวันที่ 24 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ก.พ. เวลา 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของเยอรมนี ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 6 ชั่วโมง นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.การต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ที่นครเบรเมิน ประเทศเยอรมนี ถึงผลการเยือนประเทศเยอรมนี ระหว่างวันที่ 21-25 ก.พ. 2567 ว่าภายหลังจากที่กระทรวงการต่างประเทศได้ประชุมร่วมกับเอกอัครราชทูตไทย และสถานกงสุลใหญ่ทั่วโลก เพื่อร่วมกันกำหนดประเทศเป้าหมายในเชิงยุทธศาสตร์ ได้ข้อสรุปว่า เยอรมนีเป็นหนึ่งในประเทศที่ไทยควรเดินหน้าเชื่อมความสัมพันธ์ทางการทูตในเชิงลึก และผลักดันเรื่องของการค้า การลงทุน รวมถึงการขยายตลาดต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการยกระดับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน ดังนั้น ในการเจรจา ไทยจะเสนอโครงการต่างๆ ตามนโยบายที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ เพื่อดึงดูดนักลงทุนเยอรมนีให้เข้ามาลงทุนในไทย อาทิ โครงการแลนด์บริดจ์ เซมิคอนดักเตอร์ ดาต้า เซ็นเตอร์ และยานยนต์ไฟฟ้า เพราะเยอรมนีถือเป็นผู้ผลิตยานยนต์ที่สำคัญ ตนจึงเชื่อมั่นว่าหากประสบผลสำเร็จ ในอนาคต นักลงทุนเยอรมนีจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทยมากขึ้น

นายปานปรีย์ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน การเดินทางมาเยอรมนีในครั้งนี้ เสมือนเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง จะเยือนเยอรมนีอย่างเป็นทางการในวันที่ 13 มี.ค. นี้ด้วย ซึ่งในวันแรกที่เดินทางมา จึงได้ประชุมร่วมกับทีมไทยประจำเยอรมนี เพื่อมอบนโยบายให้แต่ละฝ่ายทราบว่า นายกรัฐมนตรีมีเป้าหมายในเรื่องของการค้าการลงทุน และการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

เมื่อถามถึงความคืบหน้าการที่ไทยสมัครเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนนั้น นายปานปรีย์ กล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งอาจนานถึง 2 ปี ไทยจึงต้องสมัครเข้าไปก่อน เพื่อแสดงเจตจำนงว่าต้องการเป็นสมาชิก ดังนั้นเมื่อเขารับเจตจำนงไว้แล้ว ก็มีแนวโน้มว่าไทยมีโอกาสจะได้เข้าสู่การเป็นสมาชิกโออีซีดีมากขึ้น ซึ่งหากสำเร็จจริง เชื่อว่าจะสร้างมาตรฐานให้กับไทย ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การเงิน การเจรจาการค้ากับประเทศที่พัฒนาแล้ว และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย