นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ดีอี จะเข้าไปช่วยผลักดัน พ.ร.บ.สตาร์ทอัพแห่งชาติ ของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การสื่อสารโทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง ทั้งกระทรวงดีอี กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เผื่อผลักดันให้เกิดสตาร์ทอัพไทยก้าวสู่สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น หรือสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าบริษัทมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า  3 หมื่นล้านบาท ให้เกิดเพิ่มขึ้นในอนาคต จากที่ผ่านมาไทยมีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น เพียง 3 รายเท่านั้น

“พ.ร.บ.สตาร์ทอัพแห่งชาติ จะช่วยให้สตาร์ทอัพสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น จากปัจจุบันที่งบประมาณมีจำนวนน้อย และยังกระจัดกระจายอยู่ตามหน่วยงานของกระทรวงต่างๆ อย่างเช่น สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ภายใต้ กระทรวงดีอี ก็มีงบในการสนับสนุนเพียงปีละ 500 ล้านบาท และเป็นลักษณะการร่วมลงทุน และสร้างแมทชิ่ง ฟันด์ ซึ่งไม่เพียงพอในการทำให้เกิดยูนิคอร์นของประเทศ ซึ่งหากสามารถรวมงบประมาณสนับสนุน หรือตั้งกองทุนหรือวีซี ภายใต้กฎหมายนี้ คาดว่าจะมีเม็ดเงินกว่า 10,000 ล้านบาท ที่จะช่วยสนับสนุนสตาร์ทอัพของไทย”

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยถือว่ามีบุคลากร สถานศึกษา และสภาพแวดล้อม ที่เหมาะสมสู่ เทค อินดัสทรี เพราะเป็นพื้นที่แห่งการวิจัยและพัฒนา ที่ได้ร่วมกับบริษัทต่างๆ ในการเสริมสร้างองค์ความรู้ ให้นักศึกษาไทย รวมถึงการแลกเปลี่ยนบุคลากรด้วย เพื่อยกระดับความสามารถของคนไทยให้เป็นแรงงานทักษะสูง โดยใช้ความร่วมมือจากบริษัทเอกชนแถวหน้าของโลก โดยรัฐบาลตั้งเป้าดึงอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น คลาวด์ เอไอ บิ๊กดาต้า ให้มาขยายธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะเทคโนโลยีขั้นสูงต่างๆ ทั้งการลงทุนโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์, การตั้งศูนย์ ดาต้า เซ็นเตอร์ เพื่อรองรับคลาวด์ คอมพิวติ้ง และการวิจัยและนำเอไอ มาใช้งานในประเทศไทย ให้เกิดการลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น.