เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด-19 กำลังอยู่ในช่วงขาลง เป็นผลมาจากมาตรการล็อคดาวน์ก่อนหน้านี้ สัดส่วนผู้ป่วยหนัก และผู้ต้องใส่ท่อช่วยหายใจลดลงตามลำดับ หลังตัวเลขก่อนหน้านี้อยู่รที่ 4-5 พันรายต่อวัน ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 3 พันรายต่อวัน ทั้งนี้มีการประมาณการณ์จะมีผู้ติดเชื้อราวๆ 5 พันรายต่อวัน ก่อนสิ้นเดือน ต.ค. อย่างไรก็ตาม นี่เป็นการประเมินตามหลักคณิตศาสตร์ แต่ยังมีหลายปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน (คลัสเตอร์) และเชื้อไวรัสกลายพันธุ์และมีการประเมินฉากทัศน์อาจกระดกขึ้นหลังเดือน ต.ค. เพราะหมดแรงเหวี่ยงของช่วยล็อกดาวน์ดังนั้นทุกฝ่ายต้องช่วยทำให้การพยากรณ์นี้ไม่เป็นจริง การติดเชื้อไม่เหวี่ยงขึ้น โดยต้องยกการ์ดป้องกันตัวเอง

“ปัจจัยที่จะทำให้ผู้ติดเชื้อเหวี่ยงขึ้นไปอีก คือการเกิดคลัสเตอร์ใหญ่ และเชื้อกลายพันธุ์ ซึ่งตอนล็อคดาวน์เหมือนเราเตะเข้าเป้าไปแล้ว ตามด้วยการฉีดวัคซีนทำให้เปลี้ยลง และเตะตัดขาด้วย ATK ทำให้เชื้อไวรัสเริ่มอ่อนกำลัง และมาตรการโควิดฟรีเซตติ้งคือเว้นระยะห่างทำให้ไวรัสชกเราได้ยาก ดังนั้นเราต้องอยู่กับมันไปอย่างนี้ แต่มันเตี้ยลงทุกวันๆ คลัสเตอร์ใหญ่ๆ เกิดได้ยากส่วนเรื่องกลายพันธุ์ มีผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ไวรัสกลายพันธุ์ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น น่าจะอยู่ร่วมกันได้ โดยโรคไม่รุนแรง คาดว่าเราสามารถทรงระบบอย่างนี้ไปได้คาดว่าต้นปีหน้า ราวๆ มี.ค. 2565 โรคน่าจะสงบพอสมควร ใกล้ภาวะปกติแต่ประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัยต่อไปอีกระยะ ” ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ รูปแบบการติดเชื้อของเราจะเหมือนกับยุโรป เช่น อังกฤษ ที่จำนวนประชากรใกล้เคียงกัน และเดือนหน้าไทยจะมีจำนวน ฉีดวัคซีนใกล้เคียงกัน บวกกับมีมาตรการควบคุมป้องกันโรคเต็มที่เหมือนยุโรป คาดว่าการติดเชื้อจะไม่เกิน 5 พันคนต่อวัน สามารถดูแลได้ และไม่มีป่วยหนัก เสียชีวิตจำนวนมาก อัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตไม่มากไปกว่าไข้หวัดใหญ่