เมื่อวันที่ 27 มี.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม เข้าสู่วาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉบับที่… พ.ศ. … (สมรสเท่าเทียม) วาระที่ 2 และ 3 ที่กรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยมีทั้งหมด 68 มาตรา มีผู้สงวนความเห็น 14 มาตรา รายละเอียดสำคัญมีการปรับแก้โดยเฉพาะเนื้อหาการหมั้นและสิทธิในการเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ
โดยเมื่อเริ่มเข้าสู่วาระ นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน กมธ. กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 4 ได้กล่าวถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ต้องได้รับการคุ้มครอง การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้เราทำเพื่อคนไทยทุกคน เพราะหลังจากมีการผ่านวาระ 1 เราได้ฟังเสียงรอบด้าน เราพูดคุยถกเถียงกันว่ากฎหมายฉบับนี้ ทำเพื่อคนใดคนหนึ่งหรือไม่ ซึ่งเราพิจารณาด้วยความรอบคอบ และขอยืนยันว่ากฎหมายฉบับนี้ ชายหญิงทั่วไปเคยได้รับสิทธิอย่างไร ทุกคนจะไม่เสียสิทธิแม้แต่น้อย สิทธิในทางกฎหมายยังเท่าเดิมทุกประการ และในทางเดียวกัน กฎหมายฉบับนี้จะคุ้มครองคนกลุ่มหนึ่งที่อาจจะเรียกว่าเป็น LGBTQ ผู้ชายข้ามเพศ ผู้หญิงข้ามเพศ
![](https://www.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/03/70129.jpg)
“ผมเชื่อว่าทุกคนในที่นี้ รวมถึงพี่น้องประชาชนชาวบ้านทราบดี ว่าเราไม่ได้มีเพียงแค่เพศชายเพศหญิงเท่านั้น มีคนกลุ่มหนึ่งที่อาจเลือกเกิดไม่ได้ แต่คนเหล่านี้ เขาเลือกที่จะเป็นตามสิ่งที่เขาต้องการ เพราะฉะนั้น กฎหมายฉบับนี้ เราต้องการที่จะคืนสิทธิให้คนกลุ่มนี้ เราไม่ได้ให้สิทธิเขา” นายดนุพร กล่าว
นายดนุพร กล่าวต่อว่า สิทธิการรักษาพยาบาล การลดหย่อนภาษีต่างๆ การเสียภาษี รวมถึงการลงนามยินยอมให้เข้าสู่กระบวนการรักษาพยาบาล คนเหล่านี้เขาไม่เคยได้สิทธิแบบนี้ ดังนั้น การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้เป็นการคืนสิทธิ และทุกพรรคการเมือง ตอนหาเสียงเลือกตั้ง เราเคยบอกว่าจะทำให้สังคมนี้เป็นสังคมที่เท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำของประเทศ กฎหมายฉบับนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความเท่าเทียม
![](https://www.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/03/70970.jpg)
“พวกเราเข้าใจอย่างดีว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่ยาที่จะรักษาได้ทุกโรค แต่อย่างน้อยเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในการที่จะสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม วันนี้ฝาก สส. ทุกท่านร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เราจะเป็นประเทศที่ 3 ในภูมิภาคเอเชียที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม เราจะเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเราจะภาคภูมิใจในเวทีโลกที่ประเทศไทยวันนี้เห็นความสำคัญของความเหลื่อมล้ำในสังคม เห็นความสำคัญของความเหลื่อมล้ำทางเพศ” นายดนุพร กล่าว
จากนั้นเป็นการเปิดให้สมาชิกได้อภิปรายรายมาตรา โดยภาพรวมที่ประชุมได้เปิดให้สมาชิกแสดงความคิดเห็น พิจารณาเรียงตามรายมาตรา ซึ่งกมธ.ฯ เสียงข้างน้อย ที่มาจากภาคประชาชน ได้เสนอขอให้บัญญัติเพิ่มคำว่า “บุพการีลำดับแรก” (ที่ทำหน้าที่เสมือนมารดา-บิดา) เพื่อให้เกิดคำกลางๆ ลงในร่างกฎหมายแทนบิดา-มารดา รองรับความสมบูรณ์ของครอบครัวให้คู่สมรสเพศเดียวกัน แต่กรรมาธิการฯ เสียงข้างมาก ชี้แจงว่า การกำหนดบุพการีลำดับแรก เป็นคำใหม่ที่ไม่เคยบัญญัติในกฎหมาย และไม่มีการให้คำนิยาม จึงอาจเกิดผลกระทบในการบังคับใช้ได้ จึงเป็นเรื่องที่น่ากังวลที่จะกระทบต่อกฎหมายทั้งหมดของประเทศ ที่ประชุมฯ จึงมีมติเสียงข้างมาก เห็นชอบตามการปรับแก้ของกรรมาธิการฯ เสียงข้างมาก ทั้งนี้ เมื่อบุคคล 2 คน ไม่ว่าจะเพศเดียวกัน หรือต่างเพศกัน จดทะเบียนสมรสร่วมกันแล้ว ก็จะมีสถานะ “คู่สมรส”
![](https://www.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/03/70978.jpg)
ดังนั้น ก็จะไปเข้าเงื่อนไขในกฎหมายอื่นๆ ที่รองรับสิทธิประโยชน์ของ “คู่สมรส” อาทิ สิทธิจัดการทรัพย์สินของคู่สมรส, สิทธิเป็นผู้จัดการแทนในทางอาญา เช่นเดียวกับสามี-ภรรยา, สิทธิรับมรดกหากอีกฝ่ายเสียชีวิต, สิทธิรับบุตรบุญธรรม, สิทธิการลงนามยินยอมให้รักษาพยาบาลอีกฝ่าย, สิทธิจัดการศพ, สิทธิได้รับประโยชน์ และสวัสดิการจากรัฐในฐานะคู่สมรส เช่น สิทธิประกันสังคม, สิทธิเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล รวมถึงคู่สมรส ยังสามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้ พร้อมรับรองถึงกฎหมาย หรือระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีใด อ้างถึงสามี ภริยา หรือสามีภริยา ให้ถือว่าอ้างตามคู่สมรสที่จดทะเบียนตามกฎหมายสมรสเท่าเทียมนี้ด้วย
จากนั้นที่ประชุมลงมติในวาระ 3 มีมติเห็นชอบด้วยคะแนน 400 เสียง ไม่เห็นชอบ 10 เสียง งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 3 ให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือ กฎหมายสมรสเท่าเทียม และเห็นด้วยกับข้อสังเกตของ กมธ.วิสามัญฯ เพื่อส่งต่อไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป.