เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 มี.ค. ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการสนับสนุนสมาคมกีฬาจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน พร้อมด้วย น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นายกองเอก ชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ ประธานอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์และกลั่นกรองการสนับสนุนสมาคมกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม 

นายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ และวันนี้มีคนร่างสุนทรพจน์ให้ตนกล่าว แต่จะเหมาะสมมากกว่า ถ้าจะกล่าวจากใจ จริงๆ แล้วนโยบายรัฐวิสาหกิจกีฬา รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคไทยรักไทย เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา เริ่มต้นมาเป็นโครงการแรก ชื่นชมอยู่แล้ว ซึ่งตนเป็นคนรักกีฬา ชื่นชอบอยู่แล้วในเรื่องนี้ ฉะนั้นการที่กลับมาเป็นรัฐบาลในวันนี้ จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก และเข้าใจถึงหัวใจคนรักกีฬา เข้าใจถึงความสำคัญของกีฬา ไม่ต้องพูดถึงว่ารัฐบาลนี้ เรื่องกีฬาเป็นเรื่องสำคัญ 

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ทั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความสนใจอีเวนต์ที่เกิดมาเมื่อ 2-3 วันก่อน หลายท่านอาจได้ไป ถือเป็นความโชคดี ที่การแข่งขันฟุตบอล ที่ราชมังคลากีฬาสถาน ที่ผ่านมา ตนไปในฐานะแฟนบอล ไปถึงก่อนล่วงหน้า 2 ชั่วโมง เลี้ยวเข้าไปในสนาม กระหึ่ม ดูฟุตบอลมาหลาย 10 ปี ไม่เคยเจอบรรยากาศที่ดีขนาดนี้ นายกสมาคมฟุตบอล มีการบริหารให้เกิดวันนั้นขึ้นมา เป็นสิ่งที่น่ายินดี หัวใจคนไทยพองโต อย่าพูดถึงผล เพราะจริงๆ แล้วเรามีสิทธิเข้ารอบ ผลออกมา 3-0 แต่ก็รู้กันมาตลอด ครึ่งแรก 1-0 เหมือนที่เกาหลีใต้ แน่นอนต้องการชนะ ก็เปิดหน้าเข้าแลก

นายเศรษฐา กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เสียงเชียร์ที่กระหึ่ม รอยยิ้มบนใบหน้าของคนไทยวันนั้น แทบไม่มีการทำงานกันก็ว่าได้ ถือเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้น เราเองอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับทุกโครงการกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน จะเกิดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส ในเร็ววันนี้ ฉะนั้นการที่เรามานั่งในวันนี้ ถือเป็นเวลาที่เหมาะสม การที่สมาคมกีฬาต่างๆ ได้รับการอุดหนุนจากรัฐวิสาหกิจในขณะนี้ เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้ไม่ใช่เพราะตนคนเดียว คณะทำงานมีความโปร่งใสในการคัดเลือกดูแลเยาวชนไม่ให้หมกมุ่น ให้มุ่งการออกกำลังกาย ต้องกราบขอบคุณทุกท่านในที่นี้จากใจจริง ไม่ต้องมีการโทรศัพท์ไปใช้อำนาจนายกฯ บังคับ ไม่ต้องโทรศัพท์เลยก็ได้ เพราะเข้าใจถึงเรื่องของวงการกีฬา 

“แต่ตราบใดที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ จะไม่ให้วงการกีฬาต้องขาดงบ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก จะดูแลวงการกีฬาอย่างเต็มความสามารถ เพื่อสมดุลและขยายตัวทางเศรษฐกิจ การใช้งบประมาณอย่างถูกต้อง ปราศจากการทุจริตประพฤติมิชอบ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมจะต้องให้ความสำคัญ ไม่ใช่เงินอัดฉีดหรืองบประมาณอย่างเดียว เรื่องนโยบายก็สำคัญ การที่เราเป็นนักกีฬา แทนที่จะเอาเวลาไปทำอย่างอื่น เพื่อสร้างอาชีพในระยะยาว อายุที่เขาสามารถเล่นกีฬาได้ มีจำกัด สิ่งที่นักกีฬาทุกคนมีความกังวลคือเรื่องของอนาคต เหมือนกับพวกเราทุกคน เรื่องอนาคตสำคัญ บางเรื่องเราไม่ได้อยู่วงการกีฬาก็ไม่ทราบ ว่าระยะเวลาที่เขาสามารถหาเงินได้มันไม่ยาว ฉะนั้นการที่เราต้องดูแลบุคลากรที่ทำชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาล” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ภาคเอกชนที่ช่วยกันเยอะมาก จ้างคนพิการผู้ด้อยโอกาส ในการเข้าไปอยู่กลุ่มที่เหมาะสม ตนไปดูตัวเลขมาแล้ว ภาคหน่วยงานรัฐ ยังสามารถทำได้ดีกว่านี้ ฉะนั้นเรื่องการอัดฉีดงบเป็นเรื่องหนึ่ง รวมถึงอัดฉีดเหรียญ ทองแดง เหรียญเงิน เพื่อให้นักกีฬาสบายใจเป็นตัวแทนประเทศชาติ ถ้าหมดชีวิตการเป็นนักกีฬา เขาสามารถมีหน้าที่การงานที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี เป็นหน้าที่ของกระทรวง ทบวง กรม ทั้งหลายที่ต้องพิจารณาในการจ้างบุคคลเหล่านี้ ต้องขอบคุณคณะทำงานที่มีความชัดเจนโปร่งใส และให้ทำงานด้วยใจรักที่เพิ่มจำนวนสมาคม และสปอนเซอร์ต่างๆ จากรัฐวิสาหกิจ ถือว่าวันนี้เราพูดแต่เรื่องเงิน แต่เชื่อว่าทุกคนสามารถช่วยวงการกีฬาได้ในอย่างอื่น ถ้ามีการใส่ใจ และนโยบายเพิ่มเติมเข้าไป เพราะบุคคลเหล่านี้ถือว่าเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เรื่องกีฬาเราจะต้องช่วยกันดูแลเยาวชนและเด็ก ที่ต้องพัฒนากันต่อไป ดีใจที่มีวันนี้ ที่ทุกท่านได้มา และเห็นรอยยิ้มเกิดขึ้นได้ เพราะพวกท่านทุกคน.