ถึงแม้ศึกอภิปรายในครั้งนี้จะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็มีผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน แถมพรรคก้าวไกลก็สามารถเก็บแต้มไปต่อยอดจากผลโพลที่มีต้นทุนคะแนนดีอยู่แล้ว ขณะที่รัฐบาลก็เสียความเชื่อมั่น ต้นทุนลดน้อยลงไปอีก

คิวต่อไปที่ต้องจับตาหลังจากการปิดประชุมสภาสมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง ในวันที่ 9 เม.ย. 67 เป็นต้นไป คือ การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังจากที่รัฐบาลภายใต้การนำของ “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ทำงานย่างเข้า สู่เดือนที่ 7  โดยเฉพาะพรรคแกนนำรัฐบาลอย่าง “พรรคเพื่อไทย” ที่เจ้าของพรรคตัวจริง “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เกาะติด เช็กการบ้านรัฐมนตรีรายตัว อยู่ที่ บ้านจันทร์ส่องหล้า  ซึ่งมีแนวโน้มที่พรรคเพื่อไทยจะปรับใหญ่หลายเก้าอี้  เพราะผ่านมา 7 เดือน หมดเวลาสมนาคุณ หรือตอบแทนบุญคุณ

ซึ่งข้อมูลล่าสุดในขณะนี้ ที่มีการพูดกันมากคือ ปรับออก ไปเลย โดยเฉพาะ “รมต.โลกลืม–ไร้ผลงาน”  อาทิ นางพวงเพ็ชร  ชุนละเอียด  นายเกรียง กัลป์ตินันท์ รมช.มหาดไทย  นายไชยา พรหมา รมช.เกษตรและสหกรณ์  เป็นต้น หรือการ สลับกระทรวง การทำงานให้เกิดความเหมาะสม  เช่น การสลับกระทรวงระหว่างนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช  รมว.วัฒนธรรม กับ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา  เป็นต้น  

หรือแม้แต่กระแสข่าวให้ นายพิชัย ชุณหวชิร ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ มาเป็น รมว.คลัง  ขณะที่ นายกรัฐมนตรี อาจจะไปสลับไปควบตำแหน่ง รมว.กลาโหม  แทนนายสุทิน คลังแสง  สส.บัญชีรายชื่อ  พรรคเพื่อไทย ที่อาจต้องมาคุมเกมในสภาผู้แทนราษฎร หลังจากเคยมีประสบการณ์ในการเป็นประธานวิปฝ่ายค้าน 

นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวรัฐมนตรีหลายคนอยู่ในข่ายต้องลุ้น 50 : 50   ว่าจะได้ไปต่อหรือไม่  หากมีกำลังภายใน วิ่งดีก็สามารถต่อรองได้ “ไปต่อ”อีกยก

ในส่วน พรรคพลังประชารัฐ ก็มีความชัดเจน กรณีของ ไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร  แคนดิเดต  “รมช.พาณิชย์” ที่ต้องตกสวรรค์  หลังศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง ที่ “ไผ่” ยื่นขอให้สำนักนายกรัฐมนตรี ทบทวนปมถูกชี้ขาดคุณสมบัติ  รวมไปถึงกระแสข่าวสะพัด “ลูกสาว” รัฐมนตรีบางคนอาจมานั่งเก้าอี้แทน “พ่อ”

ซึ่งช่วงจังหวะการปรับ ครม. ทุกพรรคการเมืองก็ต้องใช้โอกาสนี้ หันมาดูองคาพยพต่างๆ ในพรรคว่าจำเป็นต้องมีการปรับรัฐมนตรีในพรรคหรือไม่  อย่าง พรรครวมไทยสร้างชาติ มีข่าวว่า “นายทุน” พาว่าที่แคนดิเดตไปนั่งทานข้าวกับ “บิ๊กเนม” มาสดๆ ร้อนๆ  ส่วน “พรรคภูมิใจไทย” แน่นปึ้กไม่มีขยับตำแหน่งใดๆ

ขณะที่ พรรคก้าวไกล ก็ต้องมาลุ้นกับการ “ยุบพรรค” หลังจากที่ ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นยุบพรรคก้าวไกล เหตุล้มล้างการปกครอง และสั่งให้พรรคผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้องตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 54

พรรคก้าวไกลก็ต้องลุ้นระทึกกับการ “ยุบพรรค” ส่วนปรับ ครม.ก็คงจะฝุ่นตลบ  อุณหภูมิการเมืองดุเดือดสมกับเป็นเดือนเมษายน.