เมื่อเวลา 23.30 น.วันที่ 4 เม.ย.67 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ต่อเนื่องเป็นวันที่2

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล  อภิปรายว่า 7 เดือนที่ผ่านมาคงทำให้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี รู้ว่าประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจเป็นคนละเรื่องกับการบริหารประเทศผ่านระบบราชการ จนดูเหมือนขณะนี้ประเทศไทยกำลังมีนายกรัฐมนตรีเป็นเด็กฝึกงาน  สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการพูดจาหรือการแสดงออกแบบขาดวุฒิภาวะ ซึ่งสามารถสร้างความเดือดร้อนและความเสียหายให้ประเทศชาติได้ โดยมีองค์ประกอบจาก 4 โรคร้าย คือ1.โรคขวัญอ่อน เกิดจากการไม่รู้ ไม่เข้าใจ และไม่สนใจที่จะทำความเข้าใจกับปัญหาของประชาชน พอเจอปัญหาของจริงก็จะแสดงออกผ่านการตื่นเต้นตกใจ  เช่น ตกใจชาวบ้านเผาไร่อ้อย  ตกใจเรื่องน้ำกระท่อมขายเกลื่อนเมือง นายกตกใจค่าไฟแพง เป็นต้น  2.โรคมือบาง หยิบจับอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่เคยได้  หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ปากสั่งอย่างเดียว ข้อสั่งการเพียบในเอกสารรายงานการประชุม แต่ผลสำเร็จน้อยนิด อย่างเมื่อสัปดาห์ก่อน ไปเกรี้ยวกราดใส่นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มาทวงถามผลงาน โดยบอกว่าแค่ 7 เดือนมันจะไปเห็นผลงานอะไร ให้รอไปก่อน เช่น เรื่องหมูเถื่อน ก็ไปด่ากราดใส่อดีตอธิบดีดีเอสไอ กลางสนามบิน บอกว่าสั่งไปแล้ว ทำไมไม่แก้ปัญหา ขณะที่อีกหมวกของท่านคือรมว.คลังการคลัง ที่กำกับดูแลกรมศุลกากร ซึ่งก็คือต้นทางที่มีหน้าที่โดยตรงในการตรวจสอบว่าหมูเถื่อนไม่ให้เข้ามาได้ ส่วน DSI เป็นเพียงปลายทาง

นายณัฐชา กล่าวต่อว่า 3. โรคปากเปราะ ซึ่งโรคนี้ส่งผลต่ออาการขาดวุฒิภาวะมากที่สุดและควรเร่งรักษาโดยด่วน เพราะส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลไทยอย่างยิ่ง ถ้าจะให้ยกตัวอย่างโรคก็ เช่น การออกมาโจมตีผู้ว่าแบงก์ชาติแทบจะทุกเวทีที่ท่านไป ซึ่งจริงอยู่ว่าที่เห็นต่างกันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ผู้นำของประเทศที่มีวุฒิภาวะ จะใช้การพูดคุยกันภายใน ใช้เหตุและผลแลกเปลี่ยนแนวทางกันภายในห้องประชุมไม่ออกมาตีโผยตีพายผ่านสื่อ ทำเหมือนเด็กเล่นขายของแบบนี้ ซึ่งคนใกล้ตัวท่านขอให้เตือนท่านบ้าง เมื่อก่อนท่านอาจจะทำพลาดในฐานะ CEO บริษัทอสังหา ก็คงไม่เสียหายอะไรเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ทุกคำพูดของท่านมีความหมายต่อประเทศชาติบ้านเมืองและพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนต้องสำนึกในบทบาทนี้ไว้ด้วย และ4.โรคขาสั่น ที่เห็นชัดเจนก็คือ กลัวสภา หนีการตรวจสอบ ไม่ต่างจากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา ที่ไม่เคยมาตอบกระทู้สภาแม้แต่ครั้งเดียว จึงทำให้ 7 เดือนมานี้ นายกฯ มาตอบกระทู้ถามของสภาเพียง 4 กระทู้ โดย 2 กระทู้เป็นคำถามจากฝั่งรัฐบาลที่ชงมาหวาน ๆ เพื่อให้ตอบหล่อ ๆ ส่วนอีก 2 กระทู้เป็นของเพื่อนสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่กระทู้ถามจากพรรคก้าวไกล ท่านนายกฯ ไม่ยอมมาตอบแม้แต่กระทู้เดียว

นายณัฐชา กล่าวว่า ตนอยากจะขอวิงวอนถ้าผ่านไปยังนายกรัฐมนตรีว่า ดูเหมือนอาการจะดูรุนแรงขึ้นทุกวัน วันนี้อยากให้ท่านมาสภา เพราะสภาจะเป็นที่แห่งเดียวที่ท่านมีอำนาจเต็มท่านจะสามารถฉายแววการเป็นผู้นำได้ เพราะเขาลือกันว่าที่ที่ทำเนียบรัฐบาลเค้าแย่งท่านไปหมดแล้วเพราะฉะนั้นกลับมาสภาเถอะ เพราะสภาจะเป็นที่เดียวที่ท่านจะสามารถ หนีห่างออกจาก “เหาฉลาม” ที่เดินตามท่านและแย่งซีนในแต่ละวัน เพราะเข้าได้เฉพาะนายกรัฐมนตรี  ดูเหมือนว่าการขาดความสามารถ ขาดวุฒิภาวะ จะกลายเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้นายกรัฐมนตรีดูเป็น “นายกฯเซลล์แมน” ในสายตาชาวโลกและอาการต่างๆเหล่านี้ ทำให้เป็นองค์ประกอบของการขาดวุฒิภาวะ ซึ่งอาการนี้ไม่ได้รุนแรงมากขอให้ท่านนายกฯหายโดยไว

“ท่านจะสามารถเป็นผู้นำอย่างสง่าผ่าเผย ผมหวังว่าการเตือนสติในวันนี้จะทำให้ท่านฉุกคิดได้บ้างว่า ในวันที่ท่านตัดสินใจอยากเป็นนายกรัฐมนตรีเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาบ้านเมือง ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนท่านมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร อย่าให้ใครมาพูดว่าท่านเข้ามาทำภารกิจเพื่อครอบครัวในครอบครัวหนึ่งอย่าให้ใครเขาคิดว่าท่านมาเพื่อทำภารกิจของส่วนตัวแต่วันนี้ท่านตั้งใจเมาช่วยบ้านเมืองจริงๆและผมหวังดีต่อท่านที่ ลุกขึ้นเตือนท่านเพราะไม่อยากให้รัฐบาลชุดนี้ต้องเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีกลางทาง”นายณัฐชา กล่าว.