เมื่อวันที่ 16 เม.ย. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางในการสู้คดียุบพรรค ผ่านรายการ Dailynews Today ทางช่องยูทูบ DailynewsOnline ว่า คุยกันมาโดยตลอด และมีคำชี้แจง คำอธิบาย ในประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญสงสัยตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 ม.ค. เจตนารมณ์ของพวกเรา ตั้งแต่เนื้อหา การกระทำ เจตนารมณ์ของเราก็คือต้องการที่จะให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขตลอดไป เป้าหมายน่าจะตรงกันทุกฝ่าย เพียงแต่ว่าวิถีทางที่จะไปของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความคิดเราก็คือว่า เราต้องการที่จะเป็นทางสายกลาง ซึ่งกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่าตน เขาอาจจะคิดอีกแบบหนึ่ง กลุ่มคนที่อายุน้อยกว่าตน ก็อาจจะคิดอีกแบบ ดังนั้นหากทางมันห่างออกจากกันเรื่อยๆ ตนก็คิดว่าใช้สภาเป็นพื้นที่ปลอดภัย และไม่มีใครผูกขาดความคิดอะไรได้ ไม่มีใครที่จะพูดจาหยาบคายอะไรได้ ก็ใช้วิธีนี้ไป ก็อธิบายให้ศาลเข้าใจแบบนี้ และอธิบายให้ฟังว่าเรื่องที่จะมีการลดโทษอะไร ก็เพื่อให้โทษมันได้สัดส่วน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการฟ้องแกล้งกัน เพราะว่าเกือบ 100 คดี ยกฟ้องไป 20% ดังนั้นการใช้สถาบันฯ มากลั่นแกล้งคนอื่น ตนคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสม

นายพิธา กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม พอได้ชี้แจงไปแล้ว ศาลท่านก็ยังคิดว่ายังอยากให้หยุดอยู่ดี บอกว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะหยุด สิ่งที่เกิดขึ้นวันที่ 31 ม.ค. กับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นภายในช่วงเวลาที่จะถึงนี้ คุณต้องเข้าใจว่ากฎหมายมันคนละมาตรา กฎหมายมันคนละฉบับ สมมุติคำว่าฝ่าไฟแดง คำว่าลักขโมย หรือคำว่าฆาตกรรม ในกฎหมายมันปรากฏอยู่ในหลายมาตราและหลายฉบับ แต่สัดส่วนมันไม่เท่ากัน แค่มันเป็นคำๆ เดียวกัน แต่ต้องดูบริบทว่ามันอยู่ในกฎหมายฉบับไหน และดูเจตนารมณ์ของกฎหมายมันคืออะไร สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ม.ค. มีไว้เพื่อที่จะป้องกัน ขอให้หยุดการกระทำเสีย ก็จบกัน ถ้าเกิดคุณไม่ทำต่อก็คือจบ แต่สำหรับอันนี้ ก็คือบอกว่ามีไว้ประหาร ก็คือยุบพรรค และตัดสิทธิทางการเมืองของคนซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก น้ำหนักและการใช้ดุลพินิจก็น่าจะคนละอันกัน

นายพิธา กล่าวต่อว่า ดังนั้นตนคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญจะให้ความยุติธรรม และให้โอกาสในการขยายความให้ตนได้อธิบายได้ละเอียดมากขึ้น และให้โอกาสในการไต่สวนมากขึ้น เพราะว่าขนาดลงโทษแค่ให้หยุด แค่เตือนให้หยุดท่านยังให้โอกาสเลย ถ้าจะประหารชีวิตการเมืองกัน ตนก็คิดว่าท่านก็คงจะให้โอกาสในการไต่สวนด้วยเช่นเดียวกัน เพราะว่าโทษหนักกว่าเยอะ อีกอย่างนิยามของการจะกล่าวหาว่าใครล้มล้าง มันเป็นคำพูดที่รุนแรงมาก คุณต้องนิยามออกมาให้ชัดว่าคนว่าล้มล้างคืออะไร สำหรับผมคำว่าล้มล้างที่ชัดและไม่น่าจะต้องเถียงกันในห้องนี้เลย ก็คือ1.รัฐประหารล้มล้าง 2.สมคบคิดกับรัฐบาลต่างชาติเพื่อประโยชน์ของต่างชาติ 3.แบ่งแยกดินแดน 4.เปลี่ยนรูปแบบการปกครอง นายพิธา กล่าว

“ทั้ง 4 เรื่องนี้ไม่ต้องมานั่งเถียงกัน ล้มล้างแน่นอน แต่สิ่งที่ตัดสินกับผมและพรรคก้าวไกลว่าเป็นการล้มล้าง ไม่มีใครรู้มาก่อน ขนาด กกต. ยังไม่รู้เลย กกต. มีคนไปร้องว่าเป็นปฏิปักษ์หรือเปล่า ยังไม่รู้เลย แล้วก็บอกให้หาเสียงต่อได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้นิยามคำว่าล้มล้างแบบของการปกครองระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญแบบไทยนี้ เพิ่งประกอบขึ้นเมื่อวันที่ 31 ม.ค. แต่ผมหาเสียงย้อนหลังไปตั้งแต่ก่อน 14 พ.ค. 66 คือมันเป็นต้นบัญญัติ มันไม่สามารถที่จะเอาผิดย้อนหลังได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ค่อยๆ อธิบายกันไป ผมก็คิดว่าการตัดสินใจแบบนี้ มันไม่ใช่กระทบแค่พรรคผม และก็คงจะเห็นว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นกับผมคนเดียว ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นรอบที่ 4-5 แล้ว ที่พอมันมีอำนาจจากการเลือกตั้งมา ก็ใช้ข้อหานี้ในการยุบพรรค ตั้งแต่สมัยยังเป็นไทยรักไทย พลังประชาชน 4-5 พรรคที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จนมาถึงอนาคตใหม่ แล้วทีนี้ค่อยมาเป็นก้าวไกล คำถามที่จะต้องถามกลับก็คือว่า เราจะชินชากับความอปกติในระบบแบบนี้หรือ ในขณะที่มีอำนาจจากการเลือกตั้งมา เราพยายามที่จะสร้างเป็นทางสายกลาง สร้างสะพานให้ประเทศไทยไปสู่อนาคต แล้วก็ยุบๆ มันทำให้ทั้งระบบมีปัญหาทั้งหมด” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวต่อว่า ดังนั้นต้องการจะชวนทุกคนช่วยกันคิดว่าเรื่องแบบนี้มันปกติจริงหรือไม่ เพราะว่าระบบแบบนี้ เราไปเอามาจากเยอรมนี ตนได้เจอประธานาธิบดีเยอรมนี ที่เจนีวา ถามคนเยอรมัน ถาม สส. เยอรมันว่าเขายุบพรรคกันง่ายๆ กันอย่างนี้เลยหรือ เขาบอกว่ายุบถ้าล้มล้างการปกครอง เช่น เป็นพรรคการเมืองที่มีกองกำลังติดอาวุธของตัวเอง มีทั้งปีกการเมือง และปีกที่เป็นกองกำลังติดอาวุธ อย่างนี้เคยยุบจริง เคยมีคนบอกเอาแนวคิดเผด็จการกลับมา อันนี้มันตรงกันข้ามกับประชาธิปไตยของเยอรมนีอยู่แล้ว แต่คนที่ไม่มีอะไร ที่จะสามารถหรือมีพลังในการทำรัฐประหารได้ ไม่สามารถที่จะไปสมคบคิดกับรัฐบาลต่างชาติเพื่อผลประโยชน์ของประเทศเหล่านั้นได้ ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนรูปแบบการปกครอง ไม่สามารถที่จะแบ่งแยกรัฐได้ คุณจะไปเรียกเขาว่าล้มล้าง ตนว่ามันก็ต้องระมัดระวังให้ดีว่าคุณสามารถที่จะกล่าวหาคนอื่นได้ขนาดนั้นเลยหรือ

“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายค้านอันดับหนึ่งของประเทศไทย ถ้าคุณเอาฝ่ายค้านอันดับหนึ่งของประเทศไทย ไม่มีเหลือประชาธิปไตยแล้ว ประชาธิปไตยคือมีอำนาจและมีการตรวจสอบถ่วงดุล ในเมื่อคุณใช้อำนาจอื่นแล้วทำลายอำนาจตรวจสอบถ่วงดุล ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของประชาธิปไตย เพราะสุขภาพของประชาธิปไตย มันไม่ได้วัดว่ารัฐบาลมีอำนาจเบ็ดเสร็จแค่ไหน มันวัดว่าฝ่ายค้านเข้มแข็งแค่ไหน มันจึงจะสามารถถ่วงดุล และคอยจิ้มคอยทำให้มันผลักดันไปข้างหน้าได้ แต่ถ้าเกิดไม่มีคู่แข่งเลย มีแต่รัฐบาลที่เป็นเผด็จการ ก็คือถ้ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ ก็สามารถจะใช้ไปในทิศทางที่เขาต้องการที่จะทำได้ อันนี้น่ากังวลกับทั้งหมด ไม่ใช่แค่พรรคผมอย่างเดียว” นายพิธา กล่าว

เมื่อถามว่าพรรคก้าวไกลมีความวิตกกังวลในเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน นายพิธา กล่าวว่า เฉยๆ อย่างที่บอกว่า อันนี้ก็เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 5 ปี มันเป็นเรื่องอปกติมากๆ ที่พอยุบอนาคตใหม่ ตนขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค สื่อมวลชนก็ถามว่ากังวลในเรื่องการยุบพรรคหรือไม่ ตอนนี้ตนอยากชวนทุกคนตั้งสติใหม่ ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นในประเทศไทยตลอด 20 ปีที่ผ่านมา มันมีแค่บ้านเรา มันอาจจะมีในอาเซียน หรือลาตินอเมริกาบ้าง แต่ว่าในประเทศที่เขาพัฒนาแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันอปกติมากๆ มันไม่ควรที่จะเกิดขึ้นบ่อยๆ ขนาดนี้ ชวนให้คิดกันแบบนี้ แต่ถ้ามองในมุมเดียวกัน ตนรู้สึกว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นกับตนและพรรคของตนคนเดียว มันเป็นเรื่องของประชาธิปไตย ที่ทำอย่างไรให้กลไกแบบนี้มันไม่เกิดขึ้นกับพรรคอื่นในอนาคตข้างหน้า เพราะว่ามันคืออำนาจที่มาจากประชาชนชัดเจน มาจากการเลือกตั้งชัดเจน 40 ล้านคน ตนได้มา 14 ล้านเสียง มันเป็นอำนาจที่มาจากประชาชน ทั้งคนที่ไม่ได้เลือกตนด้วย เพราะเขาอุตส่าห์ไปเลือกพรรคที่เขารัก แต่ถึงเวลาแล้วมันมีอำนาจของคนจำนวนน้อย หรือชนชั้นสูง ที่มีโอกาสเข้ามาถล่มหลายๆ ครั้ง

“พูดรวมๆ อย่างที่บอกว่ารอบนี้เป็นรอบที่ 5 แล้ว ไม่ใช่ผมเป็นคนแรกที่เจอเรื่องนี้ มันก็เลยรู้สึกว่าเบา เพราะเราไม่ได้คิดว่าทำไมเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเราคนเดียว ทำไมต้องเป็นเราๆ ก็เลยไม่รู้สึกว่ามันฟูมฟาย หรือจิตใจมันก็ไม่ทุรนทุรายอะไรเพราะว่ามันเกิดขึ้นหลังจากที่ผมได้พิสูจน์ตัวเองทุกอย่างจนสิ้นกระแสสงสัยแล้ว ผมไม่มีอะไรติดค้างใจอีกแล้วผมพาเลือกตั้งครั้งแรก จากพรรคการเมืองที่อายุ 3 ปี แล้วชนะเลือกตั้งได้ และเป็นการเลือกตั้งที่ใสบริสุทธิ์ ท่านอาจจะไม่ชอบผม ไม่ชอบพรรคผม แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ผมไม่ได้ซื้อเสียงเลย แม้กระทั่งคู่แข่ง ก็ยอมรับตรงนี้ รวมถึงเป็นการเลือกตั้งที่มีประชาชนคนไทย ตื่นเต้นมาใช้สิทธิสูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์กว่า 76% บางจังหวัด 80% เลือกตั้งจากทั่วโลกกลับเข้ามา แค่นี้ผมก็ภูมิใจมากแล้ว ก็เลยพร้อมที่จะเดินจากไปอย่างผู้ชนะ ดีกว่าต้องทำสัญญากับซาตาน” นายพิธา กล่าว

เมื่อถามว่ายังเชื่อในทฤษฎียิ่งยุบยิ่งโต ติดเทอร์โบในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ตนไม่ได้คิดว่ามันเป็นทฤษฎี ที่ตนเชื่อก็คือทุกการกระทำย่อมมีผลลัพธ์ตามมา แน่นอนในระยะสั้นก็อาจจะทำให้ต้องมีการเปลี่ยนพรรค ต้องมีความอ่อนแอเกิดขึ้น ต้องเปลี่ยนผู้นำใหม่ หรืออะไรก็แล้วแต่ ตนก็จะไม่สามารถลงเลือกตั้งได้เลยอีกตลอดชีวิต เป็นไปได้ที่ตนจะไม่มีโอกาสเลือกตั้ง ไม่มีโอกาสที่จะมีสิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้งอีกเลยตลอดชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน บูมเมอแรงขว้างไปยิ่งไกล มันก็ยิ่งกลับมาเร็วและกลับมาแรงด้วย มันก็อาจจะส่งผลอีกอย่างหนึ่งที่คาดไม่ถึง แม้กระทั่งผู้มีอำนาจคนที่กุมปากกาไว้ ก็อาจจะคิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นแบบนั้น และตนไม่ได้ต้องการว่าต้องโตเพราะโดนทลาย ไม่มีใครบอกว่าทำร้ายฉันเถอะฉันจะได้โต มันไม่มีคนคิดอย่างนั้นในโลกนี้ เพียงแต่ว่ามันเป็นสิ่งที่คนควบคุมไม่ได้ ถ้ามันต้องเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเกิดคราวหน้า ตนจะชนะอีกครั้ง ตนก็อยากชนะด้วยฝีมือของพวกตน ด้วยหลักการของพวกตน ไม่ได้อยากชนะเพราะได้รับอานิสงส์จากเรื่องอื่น มันก็เป็นชัยชนะที่ไม่ได้น่าภูมิใจ

“ดังนั้นผมอยากเชิญชวนประชาชนอีกครั้ง รวมถึงการสื่อสารไปถึงผู้มีอำนาจว่า เรากลับมาอยู่ในระบบกติกาเดียวกัน แชร์อำนาจกันแข่งกัน ถ้าคราวนี้ผมทำได้ดีกว่า ก็คือผมชนะ พอผมมาเป็นนายกฯ มาบริหาร ประชาชนไม่พอใจ แล้วคราวหน้าคุณมีวิธีคิดที่ดีกว่าเขาก็จะกลับไปเลือกคุณ ถ้าเกิดผมทำได้ ผมก็ได้ 2 สมัย ถ้าผมทำได้อีก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าตามมาอีก ก็กลายเป็น 3 สมัย แต่ถ้าเกิดผมทำไม่ได้ตั้งแต่สมัยแรก มันก็กลับไปให้ประชาชนตัดสิน ถ้าให้มันเป็นระบบที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแบบนี้มันก็ไม่ต้องมีอำนาจพิเศษอะไรที่มาทำลาย และไม่ต้องมีอำนาจพิเศษที่จะไปเติมแต้มต่อให้กับพรรคใดพรรคหนึ่งที่โดนกลั่นแกล้งมา แต่ให้แข่งขันกันอย่างแท้จริงในการซื้อใจประชาชนว่า ใครสามารถทำตามสิ่งที่ตัวเองพูดได้มากกว่า ถ้าเป็นแบบนี้ ประชาชนได้เปรียบ มันวินๆ คนที่จะทำลายผมก็ได้ประโยชน์ ผมก็ได้ประโยชน์ เพราะผมได้ทำงานต่อ แต่ประชาชนจะได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะว่ามันมาจากการแข่งขันที่ชอบธรรม เป็นการแข่งขันที่ไม่ใช่การชกใต้เข็มขัด ไม่ใช่การแข่งขันที่ใครเข้าถึงผู้มีอำนาจได้ใกล้กว่าก็ทำลายอีกฝั่งหนึ่งได้” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวต่อว่า บางครั้งคนเขาก็จะเห็นกันเยอะว่า พอเป็นองค์กรอิสระ เช่น กกต. ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ บางทีมันก็มีคดียุบพรรค 2-3 คดีในช่วงเวลาเดียวกัน บางทีก็มีการร้องจาก ป.ป.ช. 2-3 คนพร้อมๆ กัน แต่ทำไมบางคนปิดคดีเร็วกว่าอีกคน มันก็ไม่ได้เป็นอะไรที่เป็นประโยชน์กับพวกท่านด้วยเช่นเดียวกัน สู้ให้มันเป็นไปตามครรลองคลองธรรม เดี๋ยวประชาชนเขาก็ตัดสินกันเอง เรื่องของการเปลี่ยนแปลงเวลา ทำกันในทำเนียบหรือรัฐสภา มันไม่มีใครผูกขาดกันได้ มันมีระบบป้องกันเต็มไปหมด ตนบอกจะเอากฎหมายแบบนี้ แต่ทุกพรรคสามารถอภิปรายเท่ากัน มีขั้นตอนในสภาอีกมากมาย และมีศาลรัฐธรรมนูญที่จะบอกว่าเห็นชอบหรือไม่อีก มันมีกระบวนการทำให้ไม่ต้องกลัวหรือวิตกจริตมากจนเกินไปว่า วิธีคิดแบบนี้จะทำให้เขาผูกขาดประเทศไทยหรือคว่ำอำนาจใครได้ มันเป็นไปไม่ได้ 

นายพิธา กล่าวต่อว่า เกมในปัจจุบัน มันทำได้มากที่สุดก็คือการแชร์อำนาจ และแข่งกันว่าใครจะเอาชนะใจพี่น้องประชนได้มากกว่า ทุกอย่างมีวัฏจักรของมัน ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ถ้าเกิดคุณวิตกจริตมากเกินไป พอมันฝืน 17 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยก็เดินเป็นวงกลม ทะเลาะกัน นองเลือด 2 ครั้ง รัฐประหาร 2 ครั้ง สุดท้ายก็กลับมาเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่เพื่อนบ้านเดินไปข้างหน้า แต่ของเราเป็นวงกลม และอยู่กับที่ ดูจากตัวเลขเศรษฐกิจไม่ว่าจะในมุมไหนก็เกือบบ๊วยสุดในอาเซียน จึงอยากเชิญชวนทุกคนช่วยกันหยุดวงจรอุบาทว์และกลับมาอยู่ที่คนตัดสินให้เป็นพี่น้องประชาชนด้วยการเลือกตั้งที่บริสุทธ์ยุติธรรม และให้เราได้พิสูจน์ฝีมือกัน ถ้าทำไม่ได้คราวหน้าเขาก็ไม่เลือกเอง ให้เป็นอย่างนั้นดีกว่า

นายพิธา ยังกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลมีการแก้ไขระเบียบที่ทำให้การสมัครสมาชิกพรรคทำได้ง่ายยิ่งขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการส่งกำลังใจให้ตนและพวกเราที่พรรคก้าวไกล มีสมาชิกพรรคบอกกับตนว่าเขายื่นสมัครสมาชิกวันที่ 31 ม.ค. หลังมีคำวินิจฉัยว่าล้มล้างการปกครอง เพื่อเป็นการส่งกำลังใจให้ตน และบอกว่ายืนเคียงข้างตนอยู่ ดังนั้นยิ่งคนคิดว่าความเสี่ยงว่าจะมีการยุบพรรค เขาไม่ได้รู้สึกเสียดายเงิน แต่ยิ่งต้องเพิ่มตัวเลขสมาชิกให้พรรคก้าวไกล แสดงให้เห็นว่าเขาไม่พอใจ เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดและไม่ต้องลงถนน ไม่ต้องอะไรทั้งสิ้น แต่ส่งกำลังใจผ่านมาด้วยจำนวนสมาชิกพรรคที่เพิ่มขึ้น ให้คนที่เขามีปากกา มีอำนาจเขาได้ฉุกคิดว่ามันไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนโวยยาย มันยังมีคนที่ไม่พอใจอยู่เป็นจำนวนมาก เพียงแต่ว่าเขาใช้วิธีการแสดงออกที่มันสร้างสรรค์และไม่เป็นภาระกับใครเท่านั้นเอง ดังนั้นหากใครยังอยากจะสนับสนุนพรรคก้าวไกล และส่งกำลังใจให้พวกเรา ก็เชิญชวนให้มาสมัครเป็นสมาชิกพรรค มากันเยอะๆ พวกเราจะได้มีกำลังใจในการทำงานต่อไป.