เมื่อวันที่ 18 เม.ย. นายสุรพงษ์ กองจันทึก ที่ปรึกษาสมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสิ่งแวดล้อม (LAPA) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 เม.ย. ที่ผ่านมา ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา กรณี นายชาลี ไล้โจ่ และหลานคือนายสาธิต เจิ่งป่อง ทั้งสองเป็นชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง ต.เขาโจด อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี เข้าป่าหาเห็ดมาประกอบอาหาร เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2559 แต่ถูกเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ยิงที่ศีรษะเสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่อ้างเหตุป้องกันตัว เนื่องจากนายชาลี ยกปืนขึ้นเล็งจะยิงเจ้าหน้าที่ ต่อมาอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องเจ้าหน้าที่ในความผิดคดีอาญา

โดยชาวบ้านและญาติของนายชาลี เห็นว่านายชาลี ถูกยิงจากด้านหลังขณะวิ่งหนี ไม่ได้ต่อสู้การจับกุมตามที่เจ้าที่กล่าวอ้าง ได้เรียกร้องขอความเป็นธรรมต่อสิ่งมวลชน และขอความช่วยเหลือมาที่สมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสิ่งแวดล้อม นำมาสู่การฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีแพ่งต่อกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมารดา ภรรยา และลูกของนายชาลี

ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษากลับ โดยเห็นว่า การที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ใช้อาวุธปืน เอชเค 33 ยิงผู้ตาย เป็นเหตุให้กระสุนปืนถูกศีรษะผู้ตายจนถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งเจ้าหน้าที่อุทยานฯ จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นการละเมิดต่อผู้ตาย

จำเลยทั้งสองคือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในผลแห่งละเมิดของเจ้าหน้าที่ของตน ที่ได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 พิพากษากลับว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ 1 มารดานายชาลี เป็นค่าขาดไร้อุปการะ 1,000,000 บาท และค่าปลงศพ 30,000 บาท

นางสะเปียส่า ไล้โจ่ มารดาของนายชาลี กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้รับความเป็นธรรมจากศาล ที่ผ่านมาอยู่คนเดียว มีชีวิตยากลำบาก เพราะขาดลูกชายที่คอยดูแล