เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ แถลงจุดยืนเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายหลังคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการทำประชามติ 3 ครั้ง ครั้งแรกมีการตั้งคำถาม ว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์” รวมถึงแสดงจุดยืนต่อการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดใหม่ โดยนายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการ iLaw กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ประชาชน กว่า 200,000 รายชื่อ ร่วมกันเข้าชื่อ เพื่อผลักดันให้ ครม. ทำประชามติ สู่การเลือกตั้งใหม่ทั้งฉบับ และมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 100% ซึ่งการเสนอดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายประชามติ รัฐบาลมีหน้าที่ต้องรับฟัง แต่ผ่านไปหลายเดือน ล่าสุดมีมติให้ทำประชามติ 3 ครั้ง ครั้งแรก ตั้งคำถามว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์” โดยไม่ได้รับพิจารณาข้อเสนอของประชาชน ซึ่งที่เสนอไปนั้น รัฐบาลจะรับหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องมีการตอบกลับ และให้เหตุผลอย่างเป็นทางการกลับมา แต่ก็ยังไม่ได้ตอบ แล้วไปใช้คำถามทของตวเอง ถือเป็นการทำผิดขั้นตอน

นายณัชปกร นามเมือง เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย มีการหาเสียงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนมาเป็นรัฐบาลก็มีการระบุถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญทันทีในการประชุม ครม. นัดแรก แต่จนถึงตอนนี้ใช้เวลากว่า 200 วัน ในการพายเรือในอ่างกับคำถามว่าจะทำประชามติกี่ครั้ง และมีข้อสรุปว่าทำ 3 ครั้ง เหมือนกับตอนแรกที่เคยระบุไว้ แต่สิ่งที่ตนรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดใจมากคือตลอดการถกเถียงกันว่าจะทำประชามติกี่ครั้ง ไม่ได้นำคำถามที่ประชาชนกว่า 2 แสนคน เสนอเข้าไปนำมาถกเถียงเลย มากไปกว่านั้น ที่คาใจคือเรื่อง “ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้ง 100%” ไม่ได้อยู่ในคำถามประชาติ ทั้งๆ ที่ในการเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านๆ มา สภาเห็นชอบ แม้กระทั่งเพื่อไทยก็เห็นด้วยให้มี ส.ส.ร. มาจากการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม ในประเด็นคำถาม “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์” เห็นว่ามีปัญหา 3 เรื่อง 1. เป็นคำถามที่ซ่อน 2 ประเด็น คำถามแรกท่านเห็นชอบหรือไม่กับการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ซ้อนกับ การทำรัฐธรรมนูญใหม่จะไม่แตะต้องหรือคงไว้หมวด 1 หมวด 2 เช่นนี้จะทำให้ผลประชามติจะไม่สามารถสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนได้ ไม่สามารถชี้ขาดได้ว่า ประเด็นไหนที่ประชาชนเห็นชอบ ไม่เห็นชอบ หรือประเด็นไหนที่ประชาชนไม่แสดงความเห็น เป็นคำถามที่จะพาสังคม และประชาชนเข้าสู่สภาวะไร้ทางเลือกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พร้อมเงื่อนไขการมัดมือชก 2. ในท้ายคำถามที่ยกเว้นหมวด 1 หมวด 2 แสดงว่าจะไม่มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่อย่างแท้จริง เพราะยังคงมีเนื้อหาของรัฐธรรมนูญปี 2560 และจำกัดบทบาทประชาชนในกีตัดสินใจว่าเรื่องไหนควรแก้ ไม่ควรแก้ และ 3.ท้ายคำถามยกเว้นหมวด 2 พระมหากษัตริย์ สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกนำมาใช้ในการเป็นเงื่อนไขต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อไม่ให้ถูกขัดขวาง ปิดโอการในการพูดคุย

“3 ประเด็นปัญหาดังกล่าวจึงเป็นจุดยืนสำคัญต่อจุดยืนของเรา ถ้ารัฐบาลยืนยันที่จะตั้งคำถามแบบนี้ เราก็ยืนยันที่จะไม่โหวตเห็นชอบ ไม่โหวต Yes จะไม่รับไปก่อนแล้วแก้เทีหลัง เหมือนกับการแก้ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เครือข่ายฯ สนับสนุนการเขียนใหม่ทั้งฉบับ และมี ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 100% และมีเสียงสนับสนุนจากประชาชน 211,904 ที่เข้าชื่อในการคำถามประชามติ เมื่อคำถามต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากที่เราและประชาชนสนับสนุนจึงเป็นเหตุผลชั้นดี และมีน้ำหนักมากพอที่เราจะไม่โหวต Yes” นายณัชปกร กล่าว
นันทวัฒน์ ศักดิ์สกุลคุณากร ตัวแทนจากคณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) กล่าวว่า เราคาดหมายว่าอาจมีประชาชนจำนวนไม่น้อย ลงคะแนนไม่เห็นด้วยกับคำถามประชามติที่รัฐบาลตั้ง และให้ข้อสังเกตว่า ไม่ว่าจะมีคนกาช่อง “ไม่เห็นชอบ” หรือ Vote NO มากน้อยเพียงใด ก็ไม่ได้หมายความว่านั่นคือเสียงที่ต้องการอยู่กับรัฐธรรมนูญ 2560 แต่ยังเป็นเสียงของประชาชนที่ต้องการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยไม่มีเนื้อหาของเรื่องใดเรื่องหนึ่งถูกงดเว้น

น.ส.กัลยกร สุนทรพฤกษ์ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กล่าวว่า เราล่ารายชื่อ เสนอคำถามประชามติต่อรัฐบาล และเตือนแล้วว่า คำถามแบบใดที่เสี่ยงจะไม่ผ่านประชามติ แต่รัฐบาลก็ยังดึงดันที่จะใช้คำถามสร้างเงื่อนไข สร้างความขัดแย้ง และสร้างการถกเถียงให้กับหมวด 1 หมวด 2 พระมหากษัตริย์ โดยไม่จำเป็นและใช้เป็นปัจจัยชี้ขาดอนาคตการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ถือเป็นคำถามที่ล็อกเงื่อนไขของรัฐบาล โดยรัฐบาล เพื่อรัฐบาล ดังนั้นรัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ หากทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญชะงัก เมื่อทำตามนโยบายใหญ่ไม่ได้ เท่ากับความเป็นความพ่ายแพ้ของรัฐบาล ต้องลาออก เพราะถือว่าประชาชนไม่ให้ความไว้วางใจ

รัชพงษ์ แจ่มจิรไชยกุล เจ้าหน้าที่จาก iLaw กล่าวว่า ยืนยันว่า เราต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่แท้จริง จึงต้องเปิดการกว้างให้ทุกความเห็น ไม่ล็อค ไม่ใส่เงื่อนไข ไม่ปิดกั้นคนบางส่วนตั้งแต่การทำประชามติครั้งแรก เพราะการยกเว้นหมวดหมวดหนึ่ง ก็ไม่มีอะไรการันตีว่า หมวดอื่นๆ จะไม่ถูกล็อคไม่ให้แก้ไขได้ในอนาคต ดังนั้นไม่ว่าผลประชามติครั้งแรกจะเป็นอย่างไร หรือจะเกิดขึ้นหรือไม่ ยืนยันว่าการเขียนใหม่ทั้งฉบับ มี ส.ส.ร. จากการเลือกตั้งของประชาชน 100% ยังเป็นไปได้ โดย สว. ชุดใหม่ ซึ่งจะหนึ่งในสามหรือ 67 จาก 200 คน ในการยกมือให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงมีอำนาจแก้ไข แปรญัติชั้นกรรมาธิการเพื่อกำหนดสเปครัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าจะเป็นอย่างไร ดังนั้น หากเรายากได้หลักการที่เราเคยลงชื่อไว้ จึงเชิญชวนประชาชนลงสมัครรับเลือกเป็ สว. จะได้มีสิทธิเลือกลงคะแนนโหวต 2 เสียง อย่างน้อยก็เพื่อเลือกคนที่เห็นด้วยกับหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เลือกตั้ง 100% ทั้งนี้ ขอให้มองการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการเลือก สว. ชุดใหม่ เป็นกระบวนการเดียวกัน เมื่อไหร่ที่มี สว. ที่เห็นด้วยกับการเขียนใหม่ เลือกตั้ง 100% ก็อาจจะเป็นการปลดล็อก โดยไม่ต้องแคร์รัฐบาล ดังนั้นชวนประชาชน ใครก็ตาม ตัวแทน 1 บ้าน ไปลงสมัครรับเลือก สว. เพื่อส่ง สว. ประชาธิปไตยเข้าสภาไปจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน
เมื่อถามว่า ถ้าไม่เห็นด้วยกับคำถามประชามติของรัฐบาล แสดงว่า ทางกลุ่มอยากจะแก้ไขมหวด 1 หมวด 2 ด้วยหรือไม่ นายณัชปรกรณ์ กล่าวว่า การร่างใหม่ทั้งฉบับ เป็นหลักการทั่วไป เพื่อบอกว่าจะมีการร่างรัฐธรรมนญูใหม่ แต่ถ้ามีการยกเว้นจะเรียกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ การร่างใหม่ทั้งฉบับ เป็นนิติวิธี เพือไม่ให้มี บทบัญญัติใดในรัฐธรรมนูญที่ขัดแย้งกัน และตลอดการเคลื่อนไหวทางการเมือง มีข้อถกเถียงเรื่องบทบาทสถานะกฎหมายสถาบัน ไม่เกี่ยวว่าอยากแก้ หรือไม่อยากแก้ อาจจะมีคนอยากจะแก้ไขจริง แต่คิดว่าเป็นเรื่องที่ถกเถียงได้ ฉะนั้นควรเปิดกระบวนการให้ถกเถียง ผ่านกระบวนการที่ชอบธรรม คือ ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่ว่ารามีเจตนาจเข้าไปแก้หมวดพระมหากษัตริย์อย่างเดียว เราไม่ได้หมกมุ่นคิดแต่เรื่องนี้ และไม่มีใครหมกมุ่นคิดแต่เรื่องนี้ แต่เป็นข้อกล่าวหาว่ามีคนหมกมุ่นเรื่องนี้.