ที่ถึงแม้ว่า “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง จะล็อกคอหัวหน้า แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล แทคทีมประกาศขับเคลื่อน “ดิจิทัลวอลเล็ต” ล่มหัวจมท้ายไปด้วยกัน แบบ เลือดสุพรรณ “ไปด้วยกัน ตายด้วยกัน” แถลงข่าวทันทีภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 67 ที่ผ่านมา  

แม้นโยบายนี้พรรคเพื่อไทยได้ประโยชน์ไปเต็มๆ เพียงพรรคเดียว เพราะเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยในการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา แต่พรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องจำยอม เพราะหวังเป็นรัฐบาลครบ 4 ปี อย่างไรก็ตาม โครงการฯ นี้ดูเหมือนจะเดินหน้าไปได้ หลังเจออุปสรรค ทั้งเกมการเมือง ข้อกฎหมายและคำถามจากสังคมมากมาย 

รวมถึงสารพัดคำถาม โดยเฉพาะการจะนำเงินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มาใช้ในโครงการนี้ 172,300 ล้านบาท อาจไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. จนรัฐบาลเตรียมส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าผลสรุปจะเป็น “บวก” หรือ “ลบ” กับรัฐบาล เพราะก่อนหน้านี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ได้เคยมีข้อสังเกตมาแล้ว

ล่าสุดก็ยังเจอ “ขาประจำ” อย่าง นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งหนังสือประกอบความเห็นการพิจารณาโครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ให้ ครม. พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์โครงการดังกล่าว และเสนอแนะควรจ่ายให้กับกลุ่มเปราะบาง รวมถึงห่วงหนี้สินภาครัฐท่วม ทำไทยเสี่ยงถูกปรับลดเครดิต กระทบเชื่อมั่นนักลงทุน แนะไปทำโครงการอื่นได้ประโยชน์กว่า กังวลสภาพคล่อง ธ.ก.ส.

นอกจากนี้ โครงการฯ นี้ยังมีข้อครหาที่ถูกมองว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ต เป็นโครงการทุจริตเชิงนโยบายหรือไม่ หลังจากมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า โครงการนี้อาจจะเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อ “เจ้าสัว” ไม่กี่กลุ่ม และส่อเค้าว่าจะมีคนยื่นดาบให้ ป.ป.ช. เข้ามาสอบหรือไม่

ซึ่งแม้จะมีเสียงคัดค้าน “เสี่ยนิด” นายกรัฐมนตรี ประกาศเดินหน้าต่อไป เพราะถือว่าได้มีการรับฟังข้อคิดเห็นอย่างรอบคอบจากทุกหน่วยงานแล้ว

ซึ่งโครงการ “เรือธงรัฐบาล” จะเดินหน้าต่อไปหรือไม่ จึงอาจต้องดูบทสรุปจากคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนหรือไม่ หรือถ้าจะเดินตามแนวทางของ “แบงก์ชาติ” ซึ่งอาจจะมีความปลอดภัยกว่า แต่ก็ต้องเสีย “รังวัด” ทางการเมือง 

แต่ถ้าสุดท้าย “นายกรัฐมนตรี” และแกนนำพรรคเพื่อไทย ยังยืนยันตามธงเดิม ท่ามกลางเสียงค้าน จะ “ลุยไฟ” เดินหน้าต่อ ก็ต้องดูว่า เมื่อถึงเวลาต้องนำรายละเอียดของโครงการฯ เข้าสู่ที่ประชุม ครม. เพื่อขอความเห็นชอบ 

 เมื่อถึงวันนั้น ต้องจับตา “แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล” ที่เคยยืนเรียงแถวหน้าสลอน เมื่อต้นสัปดาห์ที่มา …จะเหลืออยู่กี่คน??