สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 23 เม.ย. ขณะที่ พ.ต.ท.ดาราธร ขจรศิลป์ รอง ผกก.5 บก.จร. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.จร. กำลังตั้งจุดตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์และกวดขันวินัยจราจร บริเวณฝั่งตรงข้ามมัสยิด ถนนเลียบมอเตอร์เวย์ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กทม. ได้มีรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ สีดำ โดยมี น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 51 ปี ผู้บริหารบริษัทระดับโลกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ขับขี่ เข้ามายังจุดตรวจ จากนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ปรากฏวัดได้ 104 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินกว่ากฎหมายกำหนด จึงได้แจ้งสิทธิและแจ้งข้อกล่าวหา โดยขณะควบคุมนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนที่ สน.ประเวศ น.ส.เอ ผู้ต้องหาได้ขัดขืน พร้อมทั้งด่าทอเจ้าหน้าที่ และถ่ายคลิปวิดีโอ และใช้เท้าถีบเข้าบริเวณใบหน้าข้างขวาของ พ.ต.ท.ดาราธร จำนวน 1 ครั้ง และพยายามถีบอีกครั้ง แต่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้ได้ ส่งผลให้ พ.ต.ท.ดาราธร ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จึงได้จับกุมตัวส่งพนักงานสอบสวนทันที ต่อมาผู้ต้องหาได้เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ประเวศ ให้การว่ายืนยันว่าผู้ขับขี่รถในขณะเมาสุรา หรือของเมาอย่างอื่น แต่ไม่รับข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่

เปิดร่องรอย ‘รองผกก.’ โดนถีบหน้าเต็มๆ ฝีเท้าผู้บริหารสาวบริษัทระดับโลกที่ถูกจับเมาขับ

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 26 เม.ย. ที่กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) พ.ต.ท.ดาราธร เปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุนั้นตำรวจได้ขอความร่วมมือให้ผู้ต้องหาเป่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ ซึ่งก็พบว่ามีปริมาณเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด คือ 104 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จากนั้นได้เชิญมาแจ้งสิทธิ และแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งผู้ต้องหาก็ยังคงด่าทอใช้คำพูดที่ไม่ดี และขัดขืนไม่ยอมให้ตำรวจดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งระหว่างที่จะนำตัวไปส่งพนักงานสอบสวน สน.ประเวศ ก็ให้ขึ้นรถกระบะตำรวจโดยให้ผู้ต้องหาเข้าไปที่ด้านหลังแค็บของรถกระบะ โดยผู้ต้องหาเข้าไปในลักษณะนอนตามแนวเบาะ ระหว่างที่ตนเองเอื้อมมือไปปิดประตูนั้น หันหน้ากลับมาก็เจอผู้ต้องหาใช้รองเท้าถีบเข้ามาที่บริเวณแก้มขวา แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากใส่หมวกกันน็อก บก.จร. ในการปฏิบัติงาน ตนจึงรวบขาไม่ให้ดิ้นรนขัดขืนอีก ต่อมาในระหว่างที่ตนขึ้นไปบน สน.ประเวศ ผู้ต้องหาได้อยู่กับลูกน้องของตนเอง ซึ่งตัวผู้ต้องหาก็ยังด่าทอเจ้าหน้าที่ไม่หยุด โดยคำที่แรงที่สุดที่ลูกน้องแจ้งตน คือ “อีชั้นต่ำ” ซึ่งคำพูดนี้กระทบกับใจรวมถึงความรู้สึกของลูกน้องอย่างมาก ตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงเที่ยงอีกวันตนต้องคอยปลอบลูกน้อง

นอกจากนี้ตนขอฝากเตือนประชาชนว่า เมาอย่าขับ เพราะสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุอันดับหนึ่งมาจากเมาแล้วขับ หลายคนมักอ้างว่าเมาแล้วขับไม่ได้ไปฆ่าใครตาย อยากให้เปลี่ยนความเชื่อแบบนี้ เพราะจากสถิติการเมาแล้วขับได้ส่งผลทำให้เกิดการเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บของคู่กรณี จึงอยากให้ประชาชนหันมาให้ความสำคัญ “เรื่องเมาไม่ขับ” ให้มากขึ้น เพราะถ้าไม่เกิดกับตนเองและครอบครัวคงไม่เข้าใจไม่รู้สึก ส่วนเกรียนคีย์บอร์ดที่เข้าไปคอมเมนต์ในโลกโซเชียลว่า ผู้ต้องหาเป็นตัวแทนหมู่บ้าน ที่ถีบหน้าตำรวจแทนให้นั้น อยากให้ใช้สติคิดก่อนว่า ผู้ต้องหาทำผิดกฎหมายคือเมาแล้วขับ ซึ่งมันอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้อื่นได้

พ.ต.อ.จิรกฤต จารุนภัทร์ รอง ผบก.จร. กล่าวว่า ที่ผ่านมาเจอคนเมาแล้วขับขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่บ่อยครั้งจนชิน เจอมาทุกรูปแบบ ทั้งยอมจำนนโดยดี ทั้งขัดขืนไม่ยอมเป่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ ทั้งพูดจาไม่รู้เรื่อง หรือแม้แต่แกล้งหลับ แกล้งตายไปเลยก็มี โดยยืนยันว่า กรณีนี้ตำรวจทำตามขั้นตอนการจับกุมทุกอย่าง ไม่ได้มีการใช้กำลังรุนแรงเกินกว่าเหตุแต่อย่างใด และที่ไม่ได้ใช้กุญแจมือพันธนาการกับผู้ก่อเหตุก็เพราะว่าเห็นว่าเป็นผู้หญิง ชุดจับกุมประเมินแล้วว่าน่าจะเอาอยู่ แต่ก็ถูกกระทำดังกล่าวจนได้ นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหายังพบว่าเคยถูกดำเนินคดีข้อหาเมาแล้วขับเมื่อปี 65 ที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นการถูกจับกุมในจุดเดิม โดยระหว่างที่ตำรวจดำเนินคดีนั้นก็ยังป่วนนำแอลกอฮอล์มาฉีดใส่ตำรวจ แต่ว่าไม่ได้ลงมือทำร้ายตำรวจแต่อย่างใด จึงดำเนินคดีในข้อหาเมาแล้วขับเพียงข้อหาเดียว ซึ่งครั้งนั้นศาลได้พิพากษาลงโทษ โดยให้รอลงอาญา 2 ปี จนกระทั่งมาก่อเหตุในครั้งนี้อีก ซึ่งยังอยู่ในห้วงเวลาที่ศาลให้รอลงอาญา

ทั้งนี้มีการแจ้งข้อกล่าวหา 3 ข้อหา คือเมาแล้วขับ ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ และทำลายเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ ส่วนข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ขณะนี้อยู่ระหว่างการแกะเสียงจากกล้องของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเข้าข่ายการดูหมิ่นหรือไม่และจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาตามไปภายหลัง.