อย่าง “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” รมว.สาธารณสุข เป็นอีก 1 รัฐมนตรีที่ต้องหลุดเก้าอี้  ล่าสุดแฟนเพจ “หมอชลน่านFcไม่มีดราม่า” ออกมาโพสต์ข้อความแสบๆ คันๆ เปิดศึกเคลื่อนไหวแรงไม่เกรงใจใคร  ว่า “ชลน่านพลีชีพโดดเดี่ยวโดนกระทืบ ผู้คนหนีเข้าซอกหลืบหลบมุมไหน พอผ่านพ้นผู้คนตะเกียกตะกาย เหยียบย่ำแย่งเป็นใหญ่ไร้ยางอาย” พร้อมเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ใหม่เป็นรูปภาพ นพ.ชลน่าน โดนเท้ารุมเหยียบ

แต่ที่ทำเอาหลายคนในรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยต้องช็อกในช็อกกันไปตามๆ กัน ภายหลังราชกิจจาฯ เผยแพร่ตำแหน่งรัฐมนตรีใหม่และรัฐมนตรีที่มีรายชื่อถูกปรับออก ปรากฏว่ามีชื่อ “ปานปรีย์ พหิทธานุกร” รมว.การต่างประเทศ หลุดจากเก้าอี้รองนายกฯ คล้อยหลังไม่นาน ปรากฏว่ามีเอกสารยื่นขอลาออกที่เขียนส่งถึงนายกฯ โดยมีข้อความระบุว่า “การปรับครม.ครั้งนี้ ปรากฏว่าผมยังคงดำรงตำแหน่ง รมว.การต่างประเทศ อยู่เพียงตำแหน่งเดียวนั้น ผมมีความประสงค์จะขอลาออกจากตำแหน่ง รมว.การต่างประเทศ และทุกตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย ตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.นี้ เพื่อเปิดทางให้ท่านอื่นเข้ามาดำรงตำแหน่งแทน และสาเหตุของการปรับผมเชื่อว่าไม่เกี่ยวกับผมไม่มีผลงานแน่นอน เพราะผมทุ่มเทการทำงานจนเป็นที่ประจักษ์”

งานนี้  “ผู้นำประเทศ” เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง ออกโรงเคลียร์ชัดๆ ว่า “ผมได้ส่งข้อความไปหานายปานปรีย์ ในกรุ๊ปไลน์ ผมบอกว่าผมขอโทษถ้าเกิดผมทำให้พี่ไม่สบายใจเรื่องอะไร ก็ขอขอบคุณที่ช่วยงานกันมา  และผมได้เชิญนายปานปรีย์เข้ามาพูดคุยกัน ผมมั่นใจว่าผมพูดอะไรไปและผมเชื่อว่าในฐานะนายกฯ ผมมีความชัดเจนในเรื่องของการที่ผมได้มีการบอกกล่าวอะไรไป”

แน่นอนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างแรงกระเพื่อมเขย่ารัฐบาล โผ ครม.ทำพิษ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หลับไม่เต็มตื่น เพราะคิวจับถอด-จับเข้า เก้าอี้ดนตรีเพื่อไทย ที่ไม่คาดคิดว่าจะมีเอฟเฟกต์ตามมา หลังจากนายกฯ ออกมาแสดงความมั่นอกมั่นใจว่าไม่มีแกว่ง แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร สร้างรอยร้าวและความบาดหมางภายในรัฐบาลอย่างเสียไม่ได้  เพราะการเร่งปรับ ครม.โชว์พาวเวอร์แรงไปหน่อย ทำเอาบรรดาลูกพรรค คนเก่าคนแก่ออกอาการน้อยใจ 

บรรยากาศการเมืองของรัฐบาล “เศรษฐา 1/1” หลังการปรับ ครม. เริ่มเผยให้เห็นแผลเนื้อในว่ามีร่องรอยความขัดแย้งปรากฏขึ้น การก้าวเข้าสู่อำนาจเก้าอี้รัฐมนตรีของ “นักการเมือง” และ “นักเลือกตั้ง” หอมหวานเสมอ โดยเฉพาะตำแหน่งเสนาบดีที่ใครๆ ก็ฝันอยากเข้าสู่อำนาจการบริหาร

จึงต้องจับตาว่า ผู้มีอำนาจทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังในพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลจะบริหารความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้อย่างไร และจะสามารถฝ่ามรสุมไปได้จนครบวาระหรือไม่ คงต้องติดตาม.