รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้ประเมินความสามารถในการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล ทั้งในส่วนของการใช้จ่ายตามมาตรา 28 ตามกรอบ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และเพดานการก่อหนี้สาธารณะพบว่า รัฐบาลเหลือพื้นที่การใช้จ่ายค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะการใช้จ่ายตามมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ขณะนี้ถือว่า ใกล้เต็มเพดานที่ 32% ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย ดังนั้นจึงเป็นข้อจำกัดของรัฐบาลใหม่ที่จะดำเนินมาตรการใดต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้ ณ สิ้นปีงบประมาณ 65 ภาระผูกพันจากการใช้จ่ายเงินตามมาตรา 28 ของรัฐบาลอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 33.5% ของงบประมาณรายจ่าย และ ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 66 เหลือวงเงินก่อหนี้ตามกรอบมาตรา 28 อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท และมีความกังวลว่าในปีงบประมาณ 67 หากมีการพิจารณาปรับลดกรอบวงเงินมาตรา 28 จาก 32% เป็น 30% ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง อาจทำให้รัฐบาลใหม่เหลือวงเงินใช้จ่ายลดลงอีก 

“การดำเนินโครงการตามมาตรา 28 อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทางการคลังในอนาคตและสร้างภาระให้กับหน่วยงานของรัฐ เนื่องจากหน่วยงานจากรัฐ โดยเฉพาะสถาบันการเงินของรัฐ จะต้องสำรองจ่ายเงินตนเองไปก่อน ดังนั้น รัฐบาลจึงควรดำเนินโครงการตามมาตรา 28 เท่าที่จำเป็น และจัดลำดับความสำคัญโครงการ โดยโครงการใดที่ดำเนินการเป็นประจำทุกปี และวางแผนล่วงหน้าได้ เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลมักนำการใช้เงินตาม ม.28 เป็นช่องทางการใช้เงินในหาเสียง หรือ ดูแลเศรษฐกิจระดับรากหญ้า โดยให้แบงก์รัฐเป็นเครื่องมือในการสำรองจ่ายเงินไปก่อน เช่น โครงการประกันรายได้ โครงการจำนำสินค้าเกษตร ซึ่งถือเป็นการใช้เงินนอกงบประมาณ และเป็นภาระที่รัฐบาลต้องจ่ายเงินให้กับแบงก์รัฐในอนาคต”

ส่วนเพดานการก่อหนี้สาธารณะ ปัจจุบัน สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ณ พ.ค. 66 อยู่ที่ 61.63% ยังคงมีพื้นที่ทางการคลังคงเหลือจากเพดานที่กำหนดไว้ไม่เกิน 70% ของจีดีพี หรือราว 1.5 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ดี ความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งพิจารณาจากสัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อประมาณการรายได้ที่ไม่ควรเกิน 10.09% ในปัจจุบันสัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 8.5% ทำให้เหลือพื้นที่อีกประมาณ 1.5% เท่านั้น ดังนั้น การพิจารณาดำเนินนโยบายที่จะสร้างภาระการคลัง ภายใต้สถานการณ์ที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และการชำระคืนต้นเงินกู้ในอัตราที่ต่ำ จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

สำหรับฐานะการคลังของรัฐบาลนั้น ในปีงบประมาณ 67 ครม. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่ 3.35 ล้านล้านบาท ประมาณการรายได้รัฐบาลที่ 2.75 ล้านล้านบาท และกรอบการขาดดุลงบประมาณที่ 5.93 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 3.0% ต่อจีดีพี โดยกรอบการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณสูงสุดตามกฎหมายอยู่ที่ 20% ของกรอบวงเงินงบประมาณ บวกกับ 80% ของรายจ่ายชำระต้นเงินกู้ โดยปีงบประมาณ 67 อยู่ที่ 7.63 แสนล้านบาท ดังนั้น จึงคงเหลือวงเงินกู้เพื่อชดเชยขาดดุลอยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท ซึ่งหากปรับเพิ่มการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลจะทำให้สัดส่วนเกินกว่า 3% ต่อจีดีพีที่กำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางในปีงบประมาณ 67-70

แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับแหล่งเงินที่รัฐบาลจะนำมาใช้จ่ายสำหรับนโยบายหาเสียงได้อย่างเร็วที่สุด คือ งบกลาง ซึ่งในปีงบประมาณ 66 เหลือ 3 หมื่นล้านบาท ส่วนปี 67 มีวงเงินประมาณ 9.3 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายจะต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง