เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่ สำนักงาน ปปง. (หัวช้าง) ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงนายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. เพื่อขอให้อายัดทรัพย์สินเครือข่ายของ “คุณผู้หญิง” ที่อยู่ในระดับ VVIP และเกี่ยวข้องกับเงินเว็บพนันฯ โดยมีนายสุทธิศักดิ์ สุมน ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกฎหมาย และในฐานะรองโฆษก ปปง. เป็นตัวแทนรับหนังสือ

นายษิทรา เปิดเผยว่า กรณีที่ตนโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กวานนี้ (29 เม.ย.) เนื่องจากได้รับรายงานว่ามีบุคคล VVVIP (มาดามคนหนึ่ง) เดินทางไปประเทศอังกฤษ และมีการประสานข้อมูลกับผู้ใหญ่เพื่อทำเรื่องขอสัญชาติอังกฤษ ขณะนี้ไม่มั่นใจว่าเจ้าตัวเดินทางกลับมายังประเทศไทยหรือยัง โดยการทำเรื่องขอสัญชาติต้องใช้เงินสูงถึงหลายสิบล้านบาท และต้องเรียนปรับภาษาอังกฤษอีกด้วย จึงมีขั้นตอนพอสมควรกว่าที่จะได้รับสัญชาติอังกฤษ อีกทั้งในประเด็นกรณีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ตนเคยแจ้งความดำเนินคดีต่อบุคคลทั้งสิ้น 4 ราย ได้แก่ 1.พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. 2.มาดามคนดังกล่าว และพวก ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินต่อพนักงานสอบสวน สน.เตาปูน อีกทั้งยังปรากฏว่า ภรรยาของ ผบ.ตร. มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับคนสนิทของ ผบ.ตร. ถึงเดือนละ 59,000-159,000 บาท โดยเป็นการรับโอนเงินจากบัญชีธนาคารของดาบยาว และรองฟาง ซึ่งมีอำนาจสั่งการและควบคุมบัญชีม้า 2 ราย

นายษิทรา เผยอีกว่า ซึ่งตนตั้งข้อสังเกตว่าเงินเดือนของดาบยาวและรองฟางไม่ได้สูงถึงขนาดจะจ่ายเงินรายเดือนได้เดือนละหลักแสนบาทแก่มาดามคนดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ผ่านเวลามาสักระยะเเล้ว และเส้นทางการเงินก็มีความชัดเจน ตนไประบุให้พนักงานสอบสวน สน.เตาปูน ว่ามีการโอนเงินวันที่เท่าไร เลขที่บัญชีใด จำนวนเงินรับโอนกี่บาท แต่ก็ยังไม่มีการเรียก ผบ.ตร. และพวกรวม 4 รายมาสอบถามสักที ทั้งนี้ พอตนได้รับรายงานว่ามีคนจะไปยื่นขอสัญชาติอังกฤษ มันก็ชวนคิดว่าเป็นการเตรียมทางเลือกไว้หรือไม่ เผื่อคดีความมีความผิดพลาดจะได้มีที่อยู่ เพราะทราบว่ามาดามคนดังกล่าว และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ มีบ้านที่ประเทศอังกฤษ 2 หลัง และที่สำคัญบ้าน 2 หลังนี้ ไม่ได้ถูกยื่นในการแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. เมื่อครั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เตรียมเข้าดำรงตำแหน่ง ผบช.ก. ถือว่าเป็นการจงใจยื่นข้อความอันเป็นเท็จฯ ทราบว่าคณะกรรมการชุดในปีนั้นมีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาตามระเบียบที่เกี่ยวข้องของ ป.ป.ช. แต่ตนกลับสงสัยว่า จนถึงวันนี้ทำไมเรื่องถึงเงียบไป ดังนั้น หลังจากนี้ตนจะหาวันเพื่อเดินทางไปที่สำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อสอบถามถึงประเด็นดังกล่าว

นายษิทรา กล่าวอีกว่า สำหรับคุณสมบัติของผู้ที่จะไปขอสัญชาติอังกฤษนั้น มันต้องเริ่มจากการขอวีซ่านักลงทุน ใช้เงินประมาณ 60 ล้านบาทไทย และต้องไปเรียนภาษาอังกฤษ มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการขอวีซ่าอังกฤษ ส่วนวันนี้ตนมีความประสงค์ขอให้ ปปง. ทำการออกคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินของทั้ง 4 บุคคล คือ บิ๊กต่อ มาดามคนดังกล่าวและสองบัญชีม้า เพราะในเส้นทางการเงินชี้ชัดว่ามีเงินจากเว็บพนันออนไลน์ BNK Master และส่วยอีก 18 ธุรกิจ จำนวน 800 ล้านบาทโอนเข้าบัญชีหนึ่งซึ่งเป็นบัญชีม้) ก่อนโอนต่อกันเป็นทอดๆ จนมาแตะที่ภรรยาและคนใกล้ชิดของ ผบ.ตร. ซึ่งเป็นเรื่องที่อาจจะชี้แจงได้ลำบาก เพราะมาดามคนดังกล่าว ไม่ได้ทำอาชีพอะไร อีกทั้งยังมีการทำธุรกรรมทางการเงินของบิ๊กต่อ อาทิ มีการขายที่ดิน 30 ล้านบาท มีการบริจาคให้นิติบุคคล ซึ่งเรื่องนี้มีความซับซ้อนเพราะมันไปเกี่ยวข้องกับคนใน ป.ป.ช. โดยมีการให้เงิน 45 ล้านบาท เป็นค่าของขวัญ มีการเอาที่ดินไปจำนอง 77 ล้านบาท ตนจึงสงสัยว่าเอาเงินจากไหนไปซื้อที่ดิน อยากให้ ปปง. หาคำตอบและสืบทรัพย์ เเละยังมีบัญชีธนาคาร จำนวน 50 บัญชี ที่ตนนำมายื่นให้ ปปง. มีคำสั่งยึดและอายัดด้วย

นายษิทรา กล่าวว่า นอกจากทรัพย์สินที่มาดามคนดังกล่าวถือเองแล้ว ยังมีตัวละครใหม่เข้ามาเกี่ยวข้อง คือ พ.ต.ท.หญิง นายหนึ่ง สารวัตรตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดหนึ่ง โดยเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนม มีการทำธุรกรรมร่วมกัน เช่น ซื้อที่ดินร่วมกันในปี 64 จำนวน 5 ไร่ เป็นหุ้นส่วนตลาด SO STREET ย่านวังหิน มีการยิง Ads (โฆษณา) หลักล้านต่อเดือน มีการทำธุรกิจกำไลข้อมือ มีภาพทำบุญร่วมกัน นั่งเป็นประธานในงานบุญต่าง ๆ ร่วมกัน อย่างไรก็ตาม สารวัตรหญิง คนนี้ไม่ธรรมดา เพจ พระจันทร์ลายกระต่าย ที่มักจะลงเรื่องราวเกี่ยวกับตำรวจ ยังได้เคยโพสต์ข้อความข้อร้องเรียนของตำรวจใน สตม. เพื่อสะท้อนไปให้ถึง ผบช.ตม. ว่า สารวัตรหญิง มีการข่มเหงลูกน้อง ใช้อำนาจเกินของเขต และ ผกก. ยังไม่กล้าทำอะไร เพราะมีคุณนายระดับบิ๊กตำรวจหนุนหลัง 1 เดือน เข้าทำงานแค่ 2-3 วัน ตำรวจ ตม.จังหวัดที่สังกัดต่างละเหี่ยใจ จึงอยากให้ ปปง. ตรวจสอบการเงินของสารวัตรหญิงรายนี้ ทำไมถึงรวยก้าวกระโดด ทั้งนี้ ตนเคยมีโอกาสได้พูดคุยกับ ปลัดฉิ่ง หรือ ฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธาน ปปง. ท่านระบุว่าถ้ามีการกระทำความผิดจริง ก็จะดำเนินการทางกฎหมาย ไม่สนว่าบุคคลนั้นจะเป็นใครตำแหน่งใดก็ตาม

ขณะที่นายสุทธิศักดิ์ สุมน ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกฎหมาย และในฐานะรองโฆษก ปปง. กล่าวว่า ทางสำนักงาน ปปง. จะรวบรวมพยานหลักฐานที่ได้รับมา เพื่อตรวจสอบให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย โดยจะรีบนำพยานหลักฐานทั้งหมดนี้ไปตรวจสอบ ซึ่งกระบวนการการตรวจสอบจะเหมือนคดีทั่วๆ ไป ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบ หากพบว่ามีผู้กระทำความผิดและทรัพย์สินได้จากการกระทำความผิด ก็จะดำเนินการยึดทรัพย์สินทั้งหมด.