เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ที่วิทยาลัยสารพัดช่างเพชรบุรี จ.เพชรบุรี นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจติดตามราชการในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ในกลุ่มจังหวัดภาคกลาง ประกอบด้วย จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร 

โดยนายสุรศักดิ์ กล่าวตอนหนึ่งในการมอบนโยบายการศึกษาให้แก่สถานศึกษาใน จ.เพชรบุรี ตอนหนึ่งว่า  

ตนได้รับฟังความคิดเห็นและการสะท้อนปัญหาที่แตกต่างกันของในแต่ละพื้นที่ เพราะการบริหารจัดการด้านการศึกษาของแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน 

ซึ่งทุกอย่างที่เป็นปัญหาจะได้รับการแก้ไข และทุกเรื่องที่เป็นปัญหาจะนำเข้าที่ประชุม ครม.เพื่อให้ได้รับการแก้ไข เพื่อประโยชน์ของผู้เรียนและครู  เพราะกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ยุคนี้เป็นยุคที่เปิดใจรับฟังมากขึ้น เราพยายามหาทางแก้ปัญหาในสิ่งที่เป็นปัญหาเรื้อรังอย่างสุดความสามารถ อะไรที่ทำได้เราจะทำทันที ซึ่งตั้งแต่ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ และตนเข้ามาปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีกว่า 7 เดือนแล้ว ซึ่งมีนโยบายที่เราให้ไว้ตั้งแต่เข้าทำงานวันแรก คือ นโยบายลดภาระครู นักเรียน และผู้ปกครอง ก็เป็นนโยบายที่เราทำให้เห็นแล้วว่าเกิดขึ้นได้จริง โดยเฉพาะการยกเลิกครูเวร ไม่ว่าจะเป็นการลดภาระครู การคืนยกเลิกครูเวร การเพิ่มงบประมาณอาหารกลางวันในกลุ่มโรงเรียนขยายโอกาส และการอนุมัติงบจ้างนักการภารโรง

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาของสถานีแก้หนี้ครูของเขตพื้นที่นั้น ถือว่าดำเนินการได้ดี ซึ่งมีการแก้ปัญหาหนี้ครูได้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม โดยแบ่งกลุ่มหนี้ครูที่วิกฤติอย่างชัดเจน ซึ่งขณะนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูหลายแห่งได้มีการลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้แก่ครูที่เป็นหนี้ด้วย  ส่วนปัญหาการจัดการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็ก ตนเชื่อว่ามีปัญหาหลายด้านไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านงบประมาณ การขาดแคลนบุคลากร ซึ่งโรงเรียนไหนตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีชุมชนเข้มแข็งก็สามารถบริหารจัดการได้ดี ซึ่งการจัดสรรเงินอุดหนุนรายหัวให้แก่โรงเรียนขนาดเล็กก็ไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหา เพราะปัจจุบันการคิดอัตราการจัดสรรเงินรายหัวในกลุ่มโรงเรียนขนาดใหญ่จะได้รับเงินอุดหนุนรายหัวที่เพิ่มขึ้น  ดังนั้นเราอาจจะต้องคิดถึงการที่จะสนับสนุนเงินรายหัวให้กับโรงเรียนขนาดเล็กใหม่ เพื่อให้โรงเรียนขนาดเล็กขับเคลื่อนบริหารจัดการไปได้ดูแลตัวเองได้ โดยเฉพาะค่าสาธารณูปโภค เพราะทุกวันนี้เด็กโตได้เงินอุดหนุนรายหัวจำนวนที่มากกว่ากลุ่มเด็กเล็ก ซึ่งหากเรามองมุมกลับกันกลุ่มเด็กเล็ก หรือ เด็กปฐมวัย ถือเป็นกลุ่มรากฐานสำคัญของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต ซึ่งในประเด็นนี้ รมว.ศึกษาธิการ มีความห่วงใย และมอบหมาย ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ.ได้ศึกษาแนวทางการปรับเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวให้แก่โรงเรียนขนาดเล็กไว้แล้ว 

“เราได้ศึกษาผลวิจัยการบริหารจัดการเงินอุดหนุนรายหัวของโรงเรียนทุกกลุ่ม ซึ่งพบว่า การสนับสนุนเงินอุดหนุนรายหัวให้แก่โรงเรียนขนาดเล็กไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร โดยเบื้องตนจากการหารือเรื่องนี้ร่วมกับทุกฝ่ายอาจสนับสนุนให้เป็นเงินก้อนไปจำนวนหนึ่ง จากนั้นจะเพิ่มเงินรายหัวเข้าไปสมทบเพิ่มเติม ซึ่งหากดำเนินการในรูปแบบนี้จะทำให้โรงเรียนขนาดเล็กบริหารจัดการตัวเองได้สะดวกขึ้น โดยเฉพาะค่าสาธารณูปโภค” นายสุรศักดิ์ กล่าว 

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า  ส่วนนโยบาย 1 อำเภอ  1 โรงเรียนคุณภาพ ตนอยากจะให้เป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพจริงๆ ซึ่งตนคิดว่าหากหลักเกณฑ์การรับบุคลากรที่จะเข้ามาอยู่ในโรงเรียนคุณภาพต้องให้มีคุณภาพตามไปด้วย มีคุณภาพทั้งบุคลากรครู เพราะถ้าคุณภาพมีได้ครบทุกอำเภอ เราก็จะขยายไปถึงโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล แต่เราจะเริ่มต้นจากโรงเรียนคุณภาพระดับอำเภอก่อน หากประสบความสำเร็จจะขยายไปในโรงเรียนดับตำบลต่อไป  ทั้งนี้ในปีงบประมาณ 2567  จะเป็นการพลิกโฉมการศึกษาไทย ที่จะเริ่มการจัดแพลตฟอร์มเนื้อหาสาระการเรียนรู้ที่จะรองรับการแจกอุปกรณ์เสริมการสอนของครูและนักเรียนในปี 2568 ซึ่งขณะนี้มีกลุ่มบริษัทด้านไอทีระดับโลกให้ความสนใจที่จะเข้ามาร่วมมือด้านการศึกษาในเรื่องดังกล่าว โดยการแจกอุปกรณ์เสริมการสอนนั้นยังไม่กำหนดว่าจะเป็นการแจกแท็บเล็ต แล็ปท็อป  แต่จะเป็นอุปกรณ์ที่ทันสมัยมาพร้อมกับการใช้งานระบบ Wi-Fi โดยที่ไม่เป็นภาระให้แก่โรงเรียน ซึ่งการแจกอุปกรณ์ดังกล่าวจะเป็นระบบของการเช่า เพื่อไม่ให้เป็นภาระของโรงเรียน เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่าก็สามารถคืนอุปกรณ์ได้ทันทีโดยไม่กลายเป็นขยะไอที  อย่างไรก็ตาม ตนขอฝากนโยบายสุขาดีมีความสุข โดยขอให้สถานศึกษาทุกแห่งได้ทำมาตรฐานห้องน้ำอย่างเท่าเทียมทั้งนักเรียนและครู และเป็นห้องน้ำที่ถูกสุขลักษณะด้วย