จากกรณี นายประเสริฐ แก้วผกาผ่องศรี หรือ “เฮียฝา” เศรษฐีระดับร้อยล้านตลาดหนองตม จ.พิษณุโลก พร้อมด้วยนายสมยศ พงศ์กิตติไพสิฐ อายุ 52 ปี ลูกชายคนโต เดินทางเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.พิษณุโลก หลังพบพิรุธเส้นทางการเงินในบัญชี หายไปกว่า 50 ล้านบาท โดยตรวจสอบพบว่า ถูกโอนเข้าบัญชีของลูกเลี้ยงเฮียฝา ที่เป็นภรรยาของอดีตผู้จัดการรายหนึ่งนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 13 ต.ค. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบ นายสมยศ พงศ์กิตติไพสิฐ อายุ 52 ปี ลูกคนโตของเฮียฝา ที่บ้านพักซึ่งเปิดเป็นร้านซ่อมเกี่ยวกับระบบแอร์ใน ต.บ้านคลอง อ.เมือง จ.พิษณุโลก เพื่อสอบถามความคืบหน้าเรื่องดังกล่าวว่า ตนได้รับการติดต่อจาก ธนาคารสำนักงานใหญ่โทรฯ มาหาว่า วันนี้จะได้รับการติดต่อจากธนาคารสาขาในจังหวัดอีกครั้ง ให้รอรับโทรศัพท์ ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้น ตนก็ยังไม่ทราบเพราะสายที่โทรฯ มาแจ้งไม่ได้บอก บอกเพียงแต่ว่า ธนาคารจะติดต่อหา ตนเองก็รอโทรศัพท์อยู่ว่า ทางธนาคารจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นว่าอย่างไร รวมถึงจะสอบถามสเตตเมนต์ 6 บัญชีที่เหลือจาก 9 บัญชี ที่ยังไม่ได้รับว่าอย่างไร เพราะตนกับพ่อ รอสเตตเมนต์เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินมานานถึง 2 ปีแล้ว

นายสมยศ กล่าวต่อว่า เมื่อช่วงเช้าทางฝั่งของพี่เขย ที่เป็นอดีตผู้จัดการธนาคาร ได้โทรศัพท์ติดต่อมาหาตนแล้ว พร้อมยืนยันว่า ส่วนที่เขาได้ไปดำเนินการถูกต้องทุกอย่างเพียงเท่านั้น แต่ตนก็ยืนยันเหมือนกันว่า ที่ตนกับพ่อออกมาพูดก็ถูกต้องเช่นกัน ก่อนจะวางสายไป

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์สอบถามนายประเสริฐ แก้วผกาผ่องศรี หรือเฮียฝา ซื่งพักอยู่ที่ภายในตลาดหนองตม ต.หนองตม อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ได้รับคำตอบจากเจ้าตัวบอกว่า ตอนนี้เห็นลูกชายบอกว่า ทางธนาคารสำนักงานใหญ่ ติดต่อมาแล้ว มีเรื่องที่ติดใจอยู่ เมื่อไปดูหลักฐานการโอนเงินผิดปกติ ส่วนความสัมพันธ์นั้น ตั้งแต่แบ่งมรดกกัน ลูกเลี้ยงก็ไม่เคยพูดคุยกัน ไม่เคยแวะมาหาเลย ทำเหมือนไม่รู้จักกันเลย เราดีดับเขาแต่เขาไม่ดีกับเรา ส่วนที่ออกมาเรียกร้องนั้น นายสมยศ ลูกชายคนโตเป็นคนดำเนินการเรียกร้อง ตนเป็นคนกลาง เมื่อลูกสงสัยเรื่องเงินที่มีการโอนไปโดยไม่มีสมุดหลายครั้ง และยังไม่มีหลักฐานว่า เงินจาก 6 บัญชีที่เหลือนั้น ถูกโอนไปเข้าบัญชีใคร ตนอยากรู้ข้อเท็จจริงด้วย

สำหรับเรื่องดังกล่าวนั้น ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพิษณุโลก นายประเสริฐ แก้วาผ่องศรี หรือ “เฮียฝา” อายุ 77 ปี ชาว อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก พร้อมด้วยนายสมยศ พงศ์กิตติไพสิฐ อายุ 52 ปี ผู้เป็นลูกชาย เดินทางร้องทุกข์กับศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพิษณุโลก และสื่อมวลชน ว่าเงินฝากในบัญชีธนาคารจำนวน 9 บัญชี สูญหายไปจำนวนกว่า 50 ล้านบาท ขอสเตตเมนต์แบบละเอียด ตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.62 จนถึงวันที่ 25 ส.ค.64 ที่ผ่านมา จากธนาคารแห่งหนึ่งของ จ.พิษณุโลก กลับถูกบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้สเตตเมนต์จึงต้องไปร้องเรียนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 ก.ค.64 ที่ผ่านมา และทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้แจ้งธนาคารสำนักงานใหญ่ที่ฝากเงินบัญชีพิจารณาติดตามและตรวจสอบบัญชีเงินฝากตามหนังสือร้องเรียนดังกล่าว กระทั่งธนาคารแห่งหนึ่งของ จ.พิษณุโลก ให้สเตตเมนต์มาเพียง 3 บัญชี เหลืออีก 6 บัญชี ที่ยังไม่ได้ให้มา

จากการตรวจสอบดูอย่างละเอียดพบว่า เงินในบัญชีถูกอดีตผู้จัดการธนาคารรายหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกเขยของนายประเสริฐ หรือ เฮียฝา ถอนโดยการโอนแบบไม่มีสมุดบัญชีไปประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งโอนไปเข้าบัญชีภรรยาที่เป็นลูกเลี้ยงของเฮียฝา ที่ผ่านมาได้ติดตามสอบถามเรื่องสเตตเมนต์ของบัญชีทั้งหมดกลับถูกธนาคารบ่ายเบี่ยง กลัวไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงพากันเดินทางมาร้องขอความเป็นธรรมจากศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพิษณุโลก ไปแจ้งความที่กองปราบปรามเพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วย

ด้าน นายประเสริฐ แก้วผกาผ่องศรี หรือเฮียฝา เปิดเผยว่า ตนเองเริ่มต้นชีวิตจากเสื่อผืนหมอนใบ ทำธุรกิจหลายอย่างอาทิ ค้าขายข้าวเปลือกอยู่ในตลาดหนองตม และปล่อยเงินกู้ รับฝากจำนองโฉนดที่ดินจนมีทรัพย์สินมากกว่า 100 ล้านบาท และได้แต่งงานกับภรรยา คือ นางกิมเต็ง บุญนวล อายุ 74 ปี แต่เสียชีวิตไปแล้วกว่า 10 ปี และมีลูกแท้ๆ ด้วยกัน 2 คน เป็นบุตรชายทั้งคู่ ส่วนภรรยาก็มีลูกติดมาด้วยจำนวน 3 คน แต่เสียชีวิตไปแล้ว 1 คน หนึ่งในนั้นเป็นภรรยาของอดีตผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่งที่เกษียณอายุไปแล้วประมาณ 2 ปี

เฮียฝา กล่าวต่อว่า เมื่อปี 54 ภรรยาเสียชีวิตไป จึงตกลงแบ่งทรัพย์สินกันเมื่อปี พ.ศ. 2560 จำนวน 5 คน ประกอบด้วย ลูกแท้ๆ 2 คน และลูกเลี้ยงอีก 2 คน รวมตนเองอีก 1 คน รวมทั้งหมด 5 คน แบ่งเงินในบัญชีคนละประมาณ 20 ล้านบาท ยังไม่รวมทรัพย์สินอื่นๆ กระทั่งต่อมาลูกชายคนโต คือ นายสมยศ พงศ์กิตติไพสิฐ สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง จึงมาบอกกับตนให้ตรวจสอบเงินทั้งหมดในบัญชีธนาคารที่มีอยู่ปรากฏว่า เงินบัญชีธนาคารกลับถูกถอนโดยไม่มีสมุดบัญชีและมีการทำตั๋วแลกเงิน ไม่สั่งจ่ายเป็นเช็คหลายครั้ง รวมยอดเงินทั้งหมดประมาณ 50 ล้านบาท จึงรู้สึกไม่สบายใจที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นและพยายามหาหลักฐานสำคัญต่างๆ เพื่อดำเนินคดีให้ถึงที่สุด

ขณะที่ นายสมยศ พงศ์กิตติไพสิฐ ลูกชายเฮียฝา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ พ่ออยู่ในความดูแลของลูกเลี้ยงทั้ง 3 คน ส่วนตนก็จะทำธุรกิจร้านแอร์อยู่ในตัวเมืองพิษณุโลก นานๆ ครั้งจะกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่ตลาดหนองตม อ.พรหมพิราม กระทั่งแม่เสียชีวิตจึงมีการแบ่งมรดกทรัพย์สินต่างๆ ให้เท่าๆ กัน พอแบ่งมรดกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลูกเลี้ยงกลับไม่เอาใจใส่ดูแลพ่อเหมือนแต่ก่อน จนสุดท้ายมารู้เรื่องว่าเงินในบัญชีของพ่อถูกถอนไปอย่างน่าสงสัยมากกว่า 50 ล้านบาท แต่ตนหาหลักฐานสเตตเมนต์มาได้เพียง 3 บัญชีเท่านั้น อีก 6 บัญชี ธนาคารกลับปฏิเสธไม่ยอมให้ ตนจึงได้ทำเรื่องร้องไปยังผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ล่าสุดมีหนังสือตอบกลับมาเรียบร้อยแล้ววันนี้ ตนจึงต้องการกู้ศักดิ์ศรีของพ่อกลับคืนมา เพราะที่ผ่านมาพ่อทำมาหากินเลี้ยงดูทุกคนมาเป็นอย่างดี แต่กลับมาทำผู้มีพระคุณเช่นนี้

ส่วน นายอธิปไตย ไกรราช ผอ.กลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพิษณุโลก ได้รับหนังสือร้องเรียนไว้ พร้อมจะดำเนินการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือและจะตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย.